ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 186 เจ้าชอบหรือไม่
ตอนมู่จิ่วออกจากห้องลู่ยา เสี่ยวซิงทำอาหารเสร็จ พวกซ่างกวนสุ่นก็ไม่ได้กลั่นแกล้งอ๋าวเจียงอีก แต่อ๋าวเจียงชัดเจนว่านั่งไม่ติดแล้ว เห็นนางเดินมาแต่ไกลก็รีบลุกขึ้นไปรับ “พวกเราสามารถออกเดินทางได้เมื่อไหร่?” พูดจบเห็นแก้มที่แดงทั้งสองข้างของนางก็อึ้งไป “เจ้าเป็นอะไร?”
มู่จิ่วปิดบังหน้าพลางพูด “ไม่มีอะไร ในห้องร้อนอย่างประหลาด ข้าไปแจ้งหัวหน้าหลิวก่อนก็ออกเดินทางได้แล้ว ลู่ยาบอกว่าเรื่องนี้ต้องไปในฐานะหน่วยลาดตระเวนถึงจะสะดวก มิฉะนั้นแล้วหากข้าไปส่วนตัว ตระกูลอวิ๋นคงไม่สนใจข้า”
อ๋าวเจียงก็คิดเช่นนั้น แต่ยังคงมองหน้านางอย่างสงสัย
มู่จิ่วหลีกเลี่ยงไม่ให้คนล้อเลียน จึงร้องบอกเสี่ยวซิงค่อยไปหาหลิวจวิ้น
มาถึงถนนสายหลักก็ถอนหายใจยาว เจ้าคนสมควรตาย หรือคิดว่าแกล้งนางสนุกนัก?
แต่ปากด่า ในใจกลับรู้สึกล่องลอยราวกับมีลมพัด มีเมฆกำลังลอย เป็นรสชาติที่บอกไม่ถูก
สุดท้ายแล้วเขาคิดจะเอาอย่างไรกับนาง?
นางเศร้าอยู่บ้าง ทั้งยังรู้สึกคาดหวังอยู่เล็กน้อย หยุดอยู่ตรงถนน เดินต่อไม่ไหวแล้ว
พ่อหนุ่มนั่น คิดจะก่อกวนนางจนตายจริงๆ…
แต่ลู่ยาจะคิดก่อกวนนางได้อย่างไร?
หลังจากนางไป เขาหยุดยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เพราะในอกยังมีไออุ่นของนางอยู่ เขาที่อยู่มานานหลายแสนปี พลันเปลี่ยนไปเหมือนเด็กคนหนึ่ง ละสายตาจากยิ้มเดียวไม่ได้ เพราะความแน่ชัดเล็กน้อยทำให้ใจเต้นไม่หยุด การหันหลังกลับของนางครั้งนั้น กลับทำให้เขาตัดสินใจตามนางอย่างไม่ลังเล
การมาครั้งนี้แล้วได้พบนาง ทำให้เขารู้สึกว่ากระดิ่งนั่นก็ไม่ได้น่ารังเกียจขนาดนั้น
มู่จิ่วอารมณ์อ่อนไหวแบบนี้ไปจนถึงหน่วยลาดตระเวน นางมีธุระต้องทำ ไม่อาจจมดิ่งอยู่กับเรื่องส่วนตัวจนไม่มีหนทางดึงตนเองออกมา อย่างไรก็ตาม หลิวจวิ้นเลิกงานแล้ว นางทำได้เพียงตามไปที่พักเขา เขากำลังเชิญนายพลหลายคนมาดื่มเหล้าพูดคุยที่บ้านพอดี
นางเข้าประตูไปก็เชิญหลิวจวิ้นออกมา เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง หลิวจวิ้นที่เท้าข้างเดียวเหยียบอยู่บนเก้าอี้ยิ้มเยาะ “อ๋าวเชินนั่นตอนแรกมิใช่ว่าอวดเบ่งอย่างมากหรือ? ทำไมเรื่องเล็กแค่นี้ต้องให้พวกเราหน่วยลาดตระเวนออกหน้าช่วย?”
มู่จิ่วรีบพูด “ครั้งนี้เป็นองค์ชายสามบ้านพวกเขาขอร้องข้า ไม่ใช่เขา ข้ากลับรู้สึกว่าไปดูสักหน่อยได้ ในเมื่ออ๋าวเจียงมาหาข้า ก็นับได้ว่าทำตามขั้นตอนปกติ หากพวกเราไม่ให้ความสนใจ ภายหลังผู้คนจะไม่ครหากันหรือว่าพวกเราประพฤติผิดต่อหน้าที่หรือ?”
เรื่องชิงชิวทำให้เกิดคดีฆาตกรรมปีศาจงูเขียวเนินอาราม ตอนนั้นก็มีคนพูดว่าหน่วยลาดตระเวนไร้กำลัง หากไม่แล้วคงไม่ทำให้สถานการณ์รุนแรงขนาดนั้น หลิวจวิ้นไม่ใช่ไม่รู้ เพราะเรื่องนี้หลังจากนั้นจึงเพิ่มจุดตรวจลาดตระเวนมากขึ้น มู่จิ่วยกเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็โล่งอกแล้ว
เขาโบกมือ “เจ้าไปเถอะ พรุ่งนี้เช้ามาเอาใบอนุญาตที่หน่วยไป”
มู่จิ่วรีบขอบคุณแล้วบอกลา
นางกลับบ้านไปแจ้งข่าว อ๋าวเจียงผ่อนคลายลง ทุกคนจึงรู้จากเรื่องนี้ว่านางต้องตามอ๋าวเจียงไปทิวเขาริ้วหยก
เสี่ยวซิงที่ถือจานหมูสามชั้นพะโล้มีปฏิกิริยาแรกคือกังวล “ตระกูลอวิ๋นนั่นคงไม่ทำให้เจ้าลำบากนะ?”
อ๋าวเจียงกำลังออกมาปกป้อง ลู่ยากลับพูดขึ้นแล้ว “เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงที่จริงตกต่ำแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีทิวเขาริ้วหยกที่สวรรค์ประทานให้เป็นเขตแดน เกรงว่าคงไม่มีใครเห็นพวกเขาเป็นอาณาจักรจริง อาจิ่วเป็นเจ้าหน้าที่ที่สวรรค์ส่งไป อย่างมากที่สุดพวกเขาก็คงไม่ร่วมมือไม่ทางตรงก็ทางอ้อม จะกล้ารังแกหรือ?”
ตั้งแต่เสี่ยวซิงรู้จากซ่างกวนสุ่นว่าลู่ยาคือลู่ยาเต้าจู่ที่เล่าลือกัน ก็ยอมศิโรราบกับเขานานแล้ว ในเมื่อเขาบอกว่ามู่จิ่วไม่เป็นไร นางก็วางใจ ก่อนวางหมูสามชั้นพะโล้วางไว้ตรงหน้าอ๋าวเจียง
อาฝูได้ยินว่าสามารถออกไปทำงานกับมู่จิ่วได้ ก็ดีใจจนรีบคาบขาหมูในชามให้รุ่ยเจี๋ย
รุ่ยเจี๋ยก็ดีใจแทนอาฝู จากนั้นหมอบลงพูดเบาๆ อยู่ข้างหูเขา ความรู้สึกสองพี่น้องไม่อาจดีไปกว่านี้ได้แล้ว
เพราะเรื่องนี้ หลังจบมื้ออาหารทุกคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ย้อนคิดกลับไปถึงเรื่องราวของอ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนตั้งแต่ต้นจนจบ
มู่จิ่วอาบน้ำเสร็จกลับห้อง กำลังจะถอดเสื้อพักผ่อน พลันมีคนมาเคาะหน้าต่าง
นางกระชับเสื้อค่อยเปิดประตู ลู่ยาจับมือนางทันที ใช้เวทอำพรางกายแล้วบินออกจากประตูไป
“ไปไหน?” นางถาม
ลู่ยาพูดอย่างยินดีเหมือนหงส์ร้อง “ไปหาที่นั่งสักหน่อย”
พูดจบ เขาลากนางไปทางภูเขาเซียนที่ห่างไกลซึ่งดวงดาวสว่างไสวที่สุด
ระหว่างทางใต้เมฆ ดาวเต็มฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล ที่พำนักเซียนงดงามซ้อนทับกัน รอบด้านมีนกหลากชนิดเต้นรำ ท่ามกลางสายรุ้งทะเลเมฆพลิกไหว คือทิวทัศน์เซียนที่สวยที่สุดที่มู่จิ่วเคยเห็นมา
ในเมื่อออกมาแล้ว ก็ทำได้เพียงทำใจให้สงบ
จุดที่ดาวเยอะที่สุดบนฟ้าคือทางช้างเผือก ถึงภูเขาเซียนแล้ว นางถึงได้รู้ว่าที่แท้ระหว่างทิวเขาสูงนี้ล้อมรอบไปด้วยทางช้างเผือก มันเหมือนกับเข็มขัดหยกที่ฝังเพชรหลากสีที่สีดีที่สุดไว้ ส่องสว่าง งดงาม แม้แต่ทิวเขาที่เมฆหมอกปกคลุมสองฝั่ง ยังถูกส่องจนสว่างเป็นประกายสีทอง
ลู่ยาจูงมู่จิ่วเดินลงชั้นหินบนเขา
เดินลงไปก็ถึงริมแม่น้ำ
ยิ่งเดินลงไปอีก ทิวทัศน์ของผิวแม่น้ำยิ่งชัดเจน ที่แท้ดาวทั้งหมดล้วนเป็นแสงสว่างบนทางช้างเผือก น้ำในแม่น้ำสะอาดใส ผิวน้ำกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ยอดเขาตรงข้ามพร่าเลือนในยามค่ำคืน แต่นานๆ ครั้งกลับมีเสียงเบาๆ ของเหล่าสัตว์น้อยและเสียงเดิน ริมแม่น้ำไม่มีลม แต่ตลอดทางเดิน ดอกไม้ป่าริมทางพากันโยกหัวสะบัดหางเบาๆ
แสงจันทร์จากด้านหลังทำให้เงาของพวกเขาทาบลงบนพื้น บางครั้งใกล้ บางครั้งไกล
มู่จิ่วหยุดอยู่ใกล้น้ำ ยกมือขึ้นป้องตามองไปที่ไกลๆ ลู่ยานั่งลงบนหินข้างตัวนาง หยิบเอาขลุ่ยจากในแขนเสื้อออกมาเป่า
เสียงขลุ่ยสูงต่ำ แสงจันทร์งดงาม มู่จิ่วนั่งลงเข้าใกล้เขา กอดเข่าเคลิบเคลิ้มอยู่ในแสงจันทร์
ไกลออกไปพลันมีหงส์ทองส่องสว่างบินมาหลายตัว พร้อมกับเสียงหงส์ร้องร่ายรำกลางอากาศ จากนั้นมีวิหคเขียวมาอีกหลายตัว ตามด้วยตี้เจียงและชิงหลวน ในเขานี้ บนทางช้างเผือก ทั้งผืนฟ้ากลายเป็นที่เต้นรำของพวกนาง! พวกนางแต่ละคนงดงามไม่ธรรมดา จับกลุ่มเต้นรำอยู่บนท้องฟ้าเหนือทางช้างเผือก มีผลกระทบต่อสายตาคู่นี้อย่างหาใดเปรียบ
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป ค้ำหินยืนขึ้นมา หงส์ที่นำหน้าพาคนที่เหลือมาล้อมนางไว้ตรงกลาง พวกนางยังคงเต้นรำ ขนนกส่องสว่างรวมกันกลายเป็นกระโปรงของมู่จิ่ว ล้อมรอบนางจนลอยพลิ้วอยู่กลางอากาศ ราวกับกลายเป็นร่างแปลงของพวกนั้น!
“พวกนางเป็นนางรำของวังชิงเสวียน”
เสียงขลุ่ยไม่รู้หยุดลงเมื่อไหร่ กลางอากาศเหลือเพียงเสียงดนตรีที่ไม่รู้มาจากไหน และเสียงหงส์ร้องไม่หยุดหย่อน
เสียงของลู่ยาออกจะเกียจคร้าน เขาที่ยืนเผชิญหน้ากับแสง มีดวงตาที่เปรียบกับทางช้างเผือกแล้วยังสว่างกว่า แผ่นหลังที่มีแสงกระจายนั้นแน่นิ่งเหมือนภูเขา
“เจ้าตั้งใจพาข้ามาดูพวกนางเต้นรำ?” มู่จิ่วถาม
“ไม่ชอบหรือ?” เขาเก็บขลุ่ยไป
“ชอบ” มู่จิ่วชะงักไปครู่ “แต่ข้าชอบดูผู้ชายหน้าตาดีมาเต้นล้อมรอบข้ามากกว่า”
ลู่ยาค้อนนาง “ไม่มีผู้ชาย”
มู่จิ่วพูดจริงจัง “ก็รับไว้สักหลายคนหน่อยสิ”
สายตาลู่ยาเหมือนมีดพุ่งไปทางนาง
มู่จิ่วหัวเราะเสียงดัง เสียงกระจ่างใสจนแม้แต่น้ำในแม่น้ำยังวูบไหวตามไปด้วยอย่างยิ่งยินดี
…………………………………………