ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 189 ตระกูลไหนคือผู้ชนะ?
“พวกเจ้าต้องคิดว่าพวกเราจัดฉากหลอกแน่” อวิ๋นเฉี่ยนหันมามองพวกเขา “แต่ข้ายังต้องบอกพวกเจ้า การตายของราชาจื่อเยวี่ย คือเขาอ๋าวเชินเป็นผู้กระทำ! เขาลงมือทำทั้งหมดอย่างเงียบเชียบโดยอาศัยตอนที่พวกเราวางแผนจัดการตระกูลอ๋าว ขณะเดียวกันก็แอบเข้ามาในวังหงส์เพลิง ขโมยกุญแจจันทราหยินที่ปกป้องจื่อเยวี่ยไว้ไป!”
มู่จิ่วรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า “กุญแจจันทราหยินถูกขโมยไปแล้ว?”
สายตาของอวิ๋นเฉี่ยนหยุดอยู่ที่หน้านางอยู่นาน ก่อนพูด “ราชาจื่อเยวี่ยมีหน้าที่สำคัญต้องแบกรับความเป็นตายของตระกูลอวิ๋น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีกุญแจหยางช่วยเขาฟื้นฟูพลังวิญญาณ จึงมีเพียงกุญแจหยินสามารถรักษาชีวิตเขาไว้ได้ การที่อาคารนี้สร้างไว้กลางไหล่เขา เพราะมีประโยชน์ต่อการรวบรวมพลังวิญญาณ เจ้าคิดว่าเราจะเสี่ยงเพื่อโกหกหรือ?”
ตะเกียงที่หัวเตียงไม่ได้สว่างมากนัก เมื่อส่องลงใบหน้านางที่แต่เดิมแต่งแต้มบางๆ อยู่แล้ว ยิ่งแสดงให้เห็นว่าทรุดโทรมและไม่สดใส
และยังเผยให้เห็นความชราด้วย…
“พวกเราวางแผนใช้แผนหญิงงามอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อปกป้องให้เขาอยู่อย่างสงบแข็งแรง ช่วยให้เผ่าหงส์เพลิงของข้าดำรงอยู่ตลอดไป”
“แต่พวกเราคิดไม่ถึงว่า อ๋าวเชินเลวร้ายกว่าที่พวกเราคิดมากนัก เขาไม่เพียงตั้งใจกักกุญแจจันทราหยางไว้ไม่ให้ข้า ยังอาศัยตอนวิกฤตมาขโมยของ ทำให้พลังวิญญาณของราชาพวกเราถูกตัดไปหมด ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาทำอะไร แต่ตอนนี้ลองคิดดู ใครควรเป็นคนโดนประณามยิ่งกว่า?”
นางในวันนี้กับนางแต่ก่อนต่างกันอย่างชัดเจน นอกจากความเกลียดชังในแววตา ก็ไม่มีความรู้สึกอื่นแล้ว
มู่จิ่วไม่ได้พูด เพราะยังดำดิ่งอยู่ในความตกใจ ไม่คืนสติกลับมา
มารดามันเถอะ นี่มันเรื่องอะไรกัน…
หลังจากที่เข้าใจว่าอ๋าวเชินเผลอไผลออกนอกลู่นอกทาง และเป็นชายโชคร้ายที่ถูกคนรักหลอก อวิ๋นเฉี่ยนกลับไม่เห็นใจแม้แต่น้อย ปฏิเสธเรื่องทั้งหมด มู่จิ่วไม่กล้าเชื่อเรื่องที่นางพูดทั้งหมดเลย
แต่นางจะละทิ้งเรื่องจริงตรงหน้าได้อย่างไร? พวกเขามาที่ทิวเขาริ้วหยก แท้จริงเป็นอ๋าวเชินยกเรื่องนี้ขึ้นมา และอวิ๋นรองที่อยู่ตรงหน้าก็ตายแล้วจริง ตระกูลอวิ๋นปกป้องอวิ๋นรองให้มีชีวิตราวกับลม จะเอาเขามาป้ายสีอ๋าวเชินได้หรือ? เป้าหมายล่ะ? สิ่งที่ต้องจ่ายล่ะ?
“ในเมื่อตายแล้ว พวกเจ้าทำไมยังไม่นำเขาไปฝัง?”
ตอนมู่จิ่วใจลอย อ๋าวเจียงพูดขึ้น
“อีกไม่นานนักหรอก เพราะอ๋าวเชิน พวกเราตระกูลอวิ๋นใกล้ถึงจุดจบแล้ว”
ในตาของอวิ๋นเฉี่ยนเย็นชา “ข้าพาพวกเจ้ามาเพียงเพราะอยากบอกว่า กุญแจจันทราหยางไม่อยู่ในมือพวกเราตระกูลอวิ๋น แม้แต่กุญแจจันทราหยินที่ปีนั้นอ๋าวเชินมอบให้ เขาก็เอาไปอย่างไร้ยางอาย! วันที่พวกเจ้าไปวันนั้น อาการป่วยของราชาพลันหนักขึ้น และพวกเราหากุญแจจันทราหยินไม่เจอ สุดท้ายข้าถึงคิดได้ คืนนั้นอ๋าวเชินออกมาจากห้องคนเดียว!”
“ตระกูลอวิ๋นของเราแม้จะต่ำช้า แต่เมื่อพูดถึงระดับแล้ว กลับเทียบอ๋าวเชินไม่ได้ถึงหนึ่งในสิบ! ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ข้าพลันเข้าใจว่าที่จริงพวกเราคือคนโง่คนนั้นของอ๋าวเชิน แต่ไหนแต่ไรเขาไม่โง่ พวกเราถูกเขาหลอกจนหัวหมุน!”
ทุกคำของนางแสดงออกถึงความเกลียดชังและพ่ายแพ้ ทำให้มู่จิ่วยากจะนำนางตรงหน้ากับนางในความทรงจำมารวมอยู่ด้วยกันได้
ส่วนอ๋าวเจียงราวกับอึ้งไปแล้ว เขาก็คงคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะหักมุมแบบนี้
ความมุ่งมั่นที่คิดจะทำเรื่องเล็กน้อยเพื่อน้องชายต่างมารดา ไม่รู้ว่าตอนนี้ในสมองขัดแย้งกันแล้วหรือไม่
ถึงแม้มู่จิ่วเชื่อคำพูดของอวิ๋นเฉี่ยนสักเจ็ดแปดส่วน แต่กลับยังคงไม่เข้าใจ “เป้าหมายที่เขาทำแบบนี้คืออะไร? เขาเคยยอมรับเองว่ารักเจ้าอย่างลึกซึ้ง ข้าคิดว่าหลายปีขนาดนี้ ความรักที่เขามีต่อเจ้าคงไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกกระมัง?”
อวิ๋นเฉี่ยนแหงนหน้าหัวเราะ ก่อนเอ่ย “เจ้าเด็กขนาดนี้ ต้องไม่รู้ว่าผู้ชายบนโลกถึงแม้รักคนคนหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นว่าต้องยินยอมทิ้งภรรยาทิ้งลูก ทิ้งชีวิต ลืมความถูกต้องเพื่อนาง ถึงแม้อ๋าวเชินชอบข้า แต่เจ้าลืมแล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร ตลอดชีวิตเขาไม่เคยได้รับความสำคัญ ภรรยามองเขาราวกับเป็นขยะ ลูกชายลูกสาวก็ไม่สนิทสนมด้วย ทั้งชีวิตเขาอยู่อย่างเดียวดาย”
“คนที่เดียวดายกลัวอะไรมากที่สุด สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือจับของในมือไว้ไม่อยู่ ยิ่งให้ค่า เขายิ่งไม่กล้าไม่ใส่ใจ สองปีนั้นที่ข้าเข้าใกล้เขาตอนแรก เขาลืมตนอย่างแท้จริง แต่ไม่นานเขาก็ระแวงแล้ว อ๋าวเชินคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เขาสืบทิวเขาริ้วหยกหรือ? เขาไม่เพียงสืบข้า ยังจงใจปกปิดเรื่องที่กุญแจจันทรามีสองดอก”
“เขากลัวว่าสิ่งที่จ่ายออกไปจะไร้ค่า แต่บางครั้งเขาก็อดไม่ได้ มอบความรู้สึกให้ ดังนั้นเขามีเพียงอาศัยเรื่องอื่นมารับประกัน ป้องกันไม่ให้ข้าเล่นตุกติกกับเขา หรือป้องกันวันที่ความเหนื่อยยากจะสูญเปล่า สามารถพูดได้ว่า เขากับข้าอยู่ด้วยกันพันกว่าปีนี้ เขาล้วนจ่ายสี่ส่วนเก็บไว้หกส่วนมาตลอด ถึงแม้เขามีใจต่อข้าไม่โกหก กลับพูดไม่ได้ว่าทุ่มเททั้งใจ”
“ตอนที่ผู้ชายคนหนึ่งรักอย่างระมัดระวังขนาดนี้ ถึงแม้ข้าตั้งใจอยู่เคียงคู่ ก็คิดถอยกลับได้มิใช่หรือ?”
“แต่ข้าไม่นึกเลยว่าตอนนี้เขาจะหักหลังตระกูลอวิ๋น!”
“หลังจากเฉินผิงตาย ข้ารู้สึกหมดอาลัยตายอยาก เขาจึงรู้สึกผิดต่อข้าเป็นพิเศษ บางทีอาจเพราะเรื่องครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สงบ หรือบางทีเขารู้ว่าข้าไม่อาจอยู่กับเขาได้นาน จึงทำให้เขามีความคิดจะเอากุญแจจันทราหยินกลับไป สุดท้าย สำหรับคนแบบเขาแล้ว ของที่จ่ายออกไปสามารถนำกลับมาได้ชิ้นหนึ่ง ก็คือชิ้นหนึ่ง”
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยดูแคลน เหมือนกับอ๋าวเชินเป็นหญ้าต้นหนึ่งที่มุมกำแพง
อ๋าวเจียงอับอายจนใบหน้าขึ้นสีแดงม่วง สองมือกำแน่นเป็นหมัด ไม่รู้เพราะอ๋าวเชินในคำอธิบายของอวิ๋นเฉี่ยนทำให้เขาอับอาย หรือยอมรับเงียบๆ ว่าพ่อของตนเองเป็นคนแบบนี้จริง
มู่จิ่วกลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของอวิ๋นเฉี่ยน ที่จริงนางกับอ๋าวเชินเป็นคนระดับเดียวกัน หากวันนี้คนที่ทำตามแผนสำเร็จคือนาง นางจะยังอยู่กับอ๋าวเชินหรือ? ทุกคนเพียงเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการเท่านั้น และล้วนทำเรื่องไม่ดีเหมือนกัน จึงไม่สามารถพูดได้ว่าใครถูกใครผิด
“เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?” นางกอดอกถาม
“เดิมทีตอนแรกข้าเพียงเดาว่าเขาเอากุญแจจันทราหยินไป คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกับดัก แต่ตอนที่ข้าหวนกลับไปคิดเรื่องทั้งหมด ข้าทำตามแผนอยู่ข้างกายเขามานานหลายปีขนาดนี้ ก็ไม่ยากที่จะมองเบาะแสออก” สายตาอวิ๋นเฉี่ยนสว่างไสว “อีกอย่าง หนทางนี้สำหรับเขาซึ่งเคยมีชื่ออยู่ในเผ่าใหญ่ที่วังมังกรทะเลตะวันออก แท้จริงไม่อาจนับได้ว่ายากจะทำสำเร็จ”
มู่จิ่วขมวดคิ้ว
หวนคิดถึงสิ่งที่ได้ยินได้เห็นทั้งหมดในวังมังกร นางก็แน่ใจนานแล้วว่าอ๋าวเชินไม่ใช่คนที่หลอกได้ง่ายขนาดนั้น ในวังมังกรทั้งในและนอกต่างคุ้มกันแน่นหนา รวมถึงสร้างเขตพลังกันน้ำขึ้นเพื่อป้องกันคนเข้ามา วังประจิมไสวถูกจับตามองป้องกันอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้แสดงออกว่าอ๋าวเชินเป็นคนที่ระมัดระวัง
คนที่ทำอะไรอย่างระแวดระวังจนเป็นนิสัย เขาจะเปลี่ยนความเคยชินเพราะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้หรือ?
……………………………………………