ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 201 สู้หลังชนฝา
มู่จิ่วเลี่ยงไม่ได้ เตือนเขาไปว่าอย่าก่อเรื่อง พวกเขาพูดคุยกันหลายประโยค ไม่รู้ตัวก็ถึงเขตทิวเขาริ้วหยกแล้ว
ยังห่างจากทิวเขาที่วังหงส์เพลิงอยู่อีกหลายร้อยลี้ เห็นเหนือทิวเขาริ้วหยกปกคลุมไปด้วยเมฆทะมึนหนาผืนหนึ่ง ไอมารจากจุดที่วังหงส์เพลิงตั้งอยู่ผ่านชั้นเมฆไปยังทุกที่ ป่าเขาใต้เมฆปรากฏความเงียบสงัดเหมือนความตายไม่เห็นนกบินขึ้นลงเช่นแต่ก่อน สัตว์ป่าที่เดินไปมาก็ไม่เห็น แม้แต่ต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปีก็เหลืองแห้งไปทั้งชั้น!
“นี่คือสัญญาณของพลังวิญญาณเสื่อมโทรม!”
มู่จิ่วพูด “ดูท่าวันสุดท้ายของตระกูลอวิ๋นมาถึงแล้วจริงๆ!”
พลังบำเพ็ญของซ่างกวนสุ่นสูงกว่านาง เป็นธรรมดาที่ดูออกนานแล้ว ถึงแม้ปกติปากร้ายน่าตบ ตอนนี้เขากลับพูดอะไรไม่ออก
เคราะห์สูญสิ้นเผ่าพันธุ์เป็นภัยพิบัติใหญ่หลวง ถึงแม้ไม่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ต้าเผิง กลับยากที่จะเลี่ยงไม่ให้คนรู้สึกเศร้าสลด
สามคนเร่งความเร็วบินไปยังวังหงส์เพลิงที่ไอมารเข้มข้นที่สุด ยิ่งใกล้เท่าไหร่ ไอมารนั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น และภายใต้การเคลื่อนไหวของไอนี้ ผิวทะเลสาบนอกประตูวังที่แต่ก่อนใสเหมือนกระจก ตอนนี้กลับมีคลื่นยักษ์!
มู่จิ่วหยุดอยู่ที่ลานนอกประตูวัง มองดูผิวทะเลสาบนั้น กลั้นความตื่นกลัวในใจพลางมองไปยังวังที่ไหล่เขา เห็นเพียงวังโบราณที่แต่ก่อนเต็มไปด้วยพลังวิญญาณยามนี้มืดทึมไร้แสง สัตว์เทพที่แต่ก่อนเดินเล่นอยู่บนอากาศไม่รู้ไปไหน พลอารักขาและหญิงรับใช้เต็มวังหายไปไม่เห็นเงา และแท่นสูงที่อยู่หลังสุดของวังพวกเขามีควันเขียวลอยวนขึ้นมา…
“เข้าไปดูกัน!”
มู่จิ่วพูดพลางพุ่งเข้าไปในประตูวัง ในนั้นราวกับเพิ่งเจอฤดูหนาวรุนแรง ไม่เพียงรอบด้านทั้งมืดหม่นและหนาวเย็น แม้แต่ดอกไม้นอกรั้ว ต้นไม้ที่มุมลาน และหญ้าบนขั้นบันไดล้วนเหลืองแห้งไปหมด ชายคาโค้งที่เคยงดงาม หยกสลักศีรษะสัตว์บนระเบียงทางเดิน กระเบื้องเขียวบนกำแพงที่สมบูรณ์เหมือนใหม่ กำลังส่งเสียงแตกร้าวออกมา
กระเรียนเซียนน้อยหลายตัวรวมกันเป็นกลุ่มอยู่ที่มุมกำแพง สายตาว่างเปล่าและหวาดกลัว
เมื่อเดินขึ้นไปบนขั้นบันได ดอกใบของหญ้าหอมอุดมสมบูรณ์ล้วนร่วงหล่นหมด วันก่อนมู่จิ่วเพิ่งมาที่นี่ ตอนนั้นถึงแม้จะรู้สึก แต่กลับไม่หนักหนาเหมือนที่ตาเห็นขณะนี้ สั้นๆ เพียงสองวันมันกลับเปลี่ยนไปแห้งแล้งแบบนี้แล้ว
“…รีบสังหารเขา!”
ขณะกำลังสำรวจระหว่างทาง ตอนนี้สักที่บนเขาพลันมีเสียงดังมา คล้อยหลังเสียงนี้หยุดลง ก็พลันมีเสียงฝีเท้าวุ่นวายและเสียงกลองดังขึ้น!
“อยู่ข้างหน้า!”
ใจมู่จิ่วหนักอึ้ง รีบกระโดดขึ้นกลางอากาศมุ่งไปยังไหล่เขา
บนแท่นเรียบตรงไหล่เขาที่เห็นก่อนหน้านี้ ที่แท้กลับเต็มไปด้วยคนยืนอยู่!
แท่นกลมสูงสองสามจั้ง รั้วหยกรอบด้านล้วนพันด้วยผ้าขาว ทั้งสี่ทิศประดับไปด้วยร่มบังแดดขนาดใหญ่ที่มีรูปสลักหลากหลายแบบ ตรงกลางสุดมีแท่นกลมกว้างจั้งหนึ่ง บนยอดแท่นแขวนครอบผลึกส่องสว่าง แสงม่วงของครอบผลึกนี้หลั่งล้นออกมา ทั้งหมดอาศัยพลังวิญญาณยกขึ้น แต่แสงม่วงด้านหน้ากลับส่องแสงอ่อนๆ เท่านั้น
พี่น้องตระกูลอวิ๋นหลายคนที่มีอวิ๋นชือฉางเป็นผู้นำ นอกจากองค์หญิงใหญ่ที่ตายตกแต่ยังสาว ที่เหลือล้วนอยู่หมด คนในที่นั้นทั้งหมดรวมถึงผู้ติดตามและคนจากเผ่าหงส์เพลิงน้อยใหญ่หลายสิบเผ่าที่ยังเหลือรอดล้วนแต่งตัวอย่างประณีต ยืนอยู่ในรั้วหยกชั้นสองใต้แท่นกลม ศพของอวิ๋นรองอยู่ใต้ครอบผลึกบนแท่นหยก ต้นถงจำนวนมากกำลังล้อมพวกเขา
แท่นหยกทางด้านนี้มีผู้ติดตามถือไฟเตรียมจุด แท่นหยกอีกด้านมีศพอีกหลายสิบศพ บนพื้นเลือดไหลนองกลายเป็นตาข่าย อวิ๋นซีถือกระบี่ชี้ไปยังคนที่จมูกปากเลือดไหล คุกเข่าข้างเดียวบนพื้นท่ามกลางศพ เขาตื่นตัวจ้องอวิ๋นซีจากมุมหนึ่ง และเขาก็คืออ๋าวเจียงที่เมื่อคืนเพิ่งส่งนางที่ริมทะเลสาบน้ำแข็ง!
ศพของอวิ๋นรองไม่อาจรักษาได้แล้ว พวกเขาคิดสู้ตายกันหรือ?
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
มู่จิ่วเห็นสภาพการณ์ก็ไม่สนใจ ตะโกนออกไปกลางอากาศ
อวิ่นเฉี่ยนกับอวิ๋นชือฉางเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาก่อน จากนั้นระหว่างคิ้วของแต่ละคนค่อยปรากฏความโกรธเกรี้ยวและตื่นตกใจ
ครั้นอวิ๋นซีเห็นนาง สีหน้าก็เย็นเยียบทันที ยกกระบี่แทงเข้าหาอ๋าวเจียง!
มู่จิ่วยังไม่ทันเรียกแหสวรรค์ตาข่ายกระบี่ออกมาต้านไว้ อาฝูกระโจนร่างเข้าไป อาศัยโอกาสนี้ชิงตัวอ๋าวเจียงมา และขนาบอยู่ข้างกายเขาคู่กับซ่างกวนสุ่นเป็นโล่ป้องกัน!
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
อวิ๋นซีที่ปกติเสเพล ตอนนี้ในดวงตามีเพียงความมุ่งร้ายและไอสังหาร ความหุนหันพลันแล่นของเขาเผยให้เห็นพอดีว่าสงครามนี้ถึงช่วงหมดแรงแล้ว บนแท่นเรียบเต็มไปด้วยความหดหู่ ไม่ว่าหญ้า ต้นไม้ คน หรือสัตว์ ในแววตาล้วนมีแต่ความท้อถอยอยากมุ่งไปสู่ความตาย!
แต่ไหนแต่ไรมู่จิ่วไม่เคยเห็นความสิ้นหวังที่ทำให้ใจสั่นแบบนี้มาก่อน ตอนนี้นางไม่คิดจะสนใจเขา กลับไปตรงหน้าอ๋าวเจียง เมื่อเห็นบนร่างเขาทั้งท้องและหลังล้วนโดนกระบี่หลายครั้ง จึงรีบเอายาสองเม็ดใส่เข้าปากเขา และช่วยปรับสมดุลพลัง ถึงค่อยถามไป “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่? เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
อ๋าวเจียงโคจรพลังนำยาเข้าสู่ตันเถียน รอจนหายใจคล่องแล้วค่อยพูด “พ่อให้ข้านำกุญแจจันทราหยินมาก่อน ดูว่าสามารถช่วยพวกเขาได้หรือไม่ ใครจะรู้ว่ามาถึงทิวเขาริ้วหยกก็เห็นว่าภายในคืนเดียวที่นี่เปลี่ยนไปแบบนี้ ข้ารู้ว่าแย่แล้ว กำลังจะกลับไป พวกเขากลับพบข้าก่อน ข้านำคนมาเพียงสิบกว่าคน ทั้งหมดไม่สามารถต่อสู้ได้ จึงถูกพวกเขาล้อมอยู่ที่นี่”
มู่จิ่วรีบถาม “แบบนั้นพ่อเจ้ารู้หรือไม่?”
อ๋าวเจียงส่ายหน้า “ข้ายังไม่ทันบอกเขา ตอนนั้นข้าถือกระเรียนกระดาษ ต้องการบอกเจ้าเรื่องทิวเขาริ้วหยกพอดี พวกเขาก็เข้ามาสังหาร คนพวกนั้นเหมือนกับไม่ต้องการมีชีวิตแล้ว ข้าไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ไป” พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก ก่อนพูดต่อ “พวกเขาคงกำลังดำเนินการขั้นสุดท้าย ถึงแม้พ่อข้ามาได้ เกรงว่าจะเป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนาเท่านั้น”
มู่จิ่วหันกลับไปมองตระกูลอวิ๋นที่แต่งตัวเหมือนคนตายแล้วกัดฟันแน่น
ไม่ต้องให้อ๋าวเจียงบอก นางก็ดูออกว่าพวกเขากำลังคิดอะไร
ถึงแม้นางเคยรังเกียจพวกเขาที่วางแผนแบบนั้นเพื่อกุญแจจันทรามาก แต่ตอนนี้เห็นทั้งเขาปกคลุมไปด้วยพลังวิญญาณและชีวิตที่กำลังตายไปอย่างรวดเร็ว แววตาของเด็กน้อยที่กอดคอผู้ใหญ่แน่นเต็มไปด้วยความกลัว ในใจนางก็ทนไม่ได้อยู่บ้าง
นางยืนขึ้น นับคนเผ่าตระกูลอวิ๋นที่ยังคงเหลืออยู่ ทั้งหมดมีสิบเอ็ดคน
นอกจากอวิ๋นชือฉาง อวิ๋นเฉี่ยน อวิ๋นซี พวกเขาพี่น้องท้องเดียวกันทั้งห้าที่เหลือเพียงสามคน ที่เหลือคือเผ่าพันธุ์สาขาย่อย เด็กที่สุดเป็นเด็กอายุสามสี่ขวบ มีพลังบำเพ็ญเพียงสองพันปี
หลายแสนปีผ่านมา เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงถึงวันนี้มีเหลือเพียงสิบเอ็ดคน และคล้อยหลังการตายของอวิ๋นรอง สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจต้านทานพลังวิญญาณทำลายล้างและชะตากรรมดุจล้มภูเขาพลิกทะเลนี้ได้
ตอนนี้พวกเขากำลังดิ้นรนต่อชะตาชีวิตในท้ายที่สุด ปลดปล่อยความไม่ยอมจำนนเป็นครั้งสุดท้าย
พวกเขากำลังคลั่ง นี่มิใช่ความเกรงกลัวต่อการสูญสิ้นหรือ?
อีกทั้งตอนนี้ ฟ้าดินหกภพกลับไม่มีสักคนสามารถยื่นมือมาช่วยได้
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ? กุญแจจันทราก็ไม่มีประโยชน์หรือ?” นางมองอวิ๋นเฉี่ยน
……………………………………………………………………