ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 202 ยังช่วยได้หรือ?
หญิงที่เคยงดงามเหนือผู้ใดคนนี้ ระยะเวลาเพียงคืนเดียวผมขาวกลับขึ้นแล้ว ถึงแม้แต่งหน้าจัดอีกครั้ง แต่ก็ยังคงปกปิดร่องแก้มลึกที่เหมือนถูกมีดกรีดไม่ได้
เผ่าพันธุ์ส่งพลังให้พวกเขาไม่ไหวแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังแก่ลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้
“ไม่ต้องพูดถึงกุญแจจันทราหยิน ตอนนี้แม้แต่กุญแจจันทราหยางก็ช่วยไม่ได้แล้ว” ในแววตาของอวิ๋นเฉี่ยนมีไอสังหารรุนแรงเหมือนกัน เหมือนนักโทษบนลานประหารที่ไม่ยินยอมและดุร้าย “เป็นอ๋าวเชินที่ล้อเล่นกับพวกเราตระกูลอวิ๋นทั้งเป็นจนมาถึงขั้นนี้ เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าพวกเราจะมีจุดจบแบบนี้ เขาคือเพชรฆาตที่สังหารทั้งเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง!”
ชั้นเมฆกลางอากาศเริ่มพลิกตลบอีกครั้ง เมฆทะมึนยิ่งหนาขึ้น
นี่คือชั้นเมฆที่สะสมไอมารของพวกเขาไว้
ตอนนี้มู่จิ่วไม่คิดถกเถียงถูกผิดกับพวกเขา
“ต้องพาลู่ยามา!”
นางก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว เร่งกระตุ้นกำไลม่วงทองบนข้อมือ รอจนมันส่งวงแสงสว่างแสบตากลืนเข้าไปในกลุ่มเมฆ จากนั้นถึงได้พูดกับซ่างกวนสุ่น “พวกเราจะปกป้องอ๋าวเจียงกับศพของอวิ๋นฉัวอยู่ที่นี่ เจ้าบินได้เร็ว ไปบอกข่าวแก่ทะเลสาบน้ำแข็งก่อน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่อาจให้อ๋าวเชินวางตัวอยู่วงนอกได้!”
ชัดเจนว่าเขาเป็นคนก่อเรื่องนี้ ตอนนี้เขาผู้เป็นต้นเรื่องไม่มา จะให้พวกเขาแบกรับความผิดแทนหรือ?
กลับคิดได้ประเสริฐนัก!
ซ่างกวนสุ่นทำตามโดยไม่ถาม
……………………..
ลู่ยาเดินตามเสือลายเหลืองไปยังทิศประจิมของคุนหลุนตะวันออก ยืนอยู่บนเมฆมองด้านล่าง มีต้นหวายปกคลุมจนมองไม่เห็นพื้นดังคาด เขากำลังจะกดเมฆลงไปดู กระดิ่งเล็กที่พันอยู่บนด้ายแดงกลับพลันสั่นไหว!
ตั้งแต่เขาให้ด้ายแดงมู่จิ่วไป ด้ายแดงนี้ไม่เคยขยับมาก่อน การขยับครั้งนี้ย่อมต้องไม่ปกติ
เขารีบนับนิ้วทำนาย จากนั้นขมวดคิ้ว ปล่อยเสือลายเหลืองลงพื้น หมุนเมฆมุ่งไปยังทิวเขาริ้วหยก!
พวกมู่จิ่วกำลังคุมเชิงกับตระกูลอวิ๋น
พี่น้องตระกูลอวิ๋นแต่ละคน บนร่างเต็มไปด้วยไอมารและไอสังหาร ตั้งแต่นางมาถึงก็แยกมายืนล้อมเป็นวงทันที แสดงออกว่าไม่คิดปล่อยอ๋าวเจียงไปแต่แรก มู่จิ่วคนน้อยไม่สู้คนมาก ก็ไร้หนทาง ทำได้เพียงให้เขาเกาะอยู่บนหลังอาฝูชั่วคราว หากพวกนั้นโจมตีเข้ามา นางจะคุ้มกันให้พวกเขาไปก่อน
“กัวมู่จิ่ว ทิ้งเขาไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
อวิ๋นซียกกระบี่ชี้นาง มุมปากเขามีเลือดไหลออกมา
มู่จิ่วรู้ดีว่าไม่อาจปะทะโดยตรงกับเขา จึงพูด “บางทีเรื่องอาจจะยังเดินไม่ถึงขั้นนั้น อาจยังมีหนทางพลิกสถานการณ์ พวกเจ้าสังหารอ๋าวเจียง ก็เท่ากับกลายเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์มังกรทั้งเผ่า! แบบนั้นพวกเจ้าไม่ตายก็ต้องตายแล้ว อย่าได้มุทะลุขนาดนั้นเป็นการดี”
“ยังมีหนทางเหลืออีกหรือ? ราชาจื่อเยวี่ยตาย ก็หมายถึงว่าพลังวิญญาณของพวกเราเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงสูญสิ้น ชะตาของพวกเราขาดแล้ว นี่คือชีวิตของพวกเราทั้งเผ่า นี่คือชีวิตที่ฟ้าลิขิต! ตั้งแต่โบราณกาลมา พวกเราก็เป็นเผ่าเทพที่สืบทอดต่อกันมา บนผืนฟ้าพื้นพิภพยังมีใครสามารถทำลายเคราะห์กรรมนี้แทนพวกเราได้?!”
“และเจ้ายังเตือนพวกเราไม่ให้มุทะลุ! หากเปลี่ยนเป็นเจ้า เปลี่ยนเป็นตระกูลอ๋าว พวกเจ้าเจอกับเรื่องแบบนี้ยังไม่มุทะลุได้อีกหรือ?! พวกเราไม่กลัวตาย สิ่งที่เรากลัวคือสิ่งที่สืบทอดกันมาจนถึงมือพวกเราหลายแสนปีสิ้นสุดลง! หากพวกเราไม่ตายไปพร้อมกับตระกูลอ๋าว ทุกชีวิตทุกชาติภพ คนบนโลกต้องมองพวกเราเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงทั้งเผ่าเป็นพวกไม่เอาไหน พวกเราไม่มีทางเลือก!”
อวิ๋นซีตะโกนก้องทุกคำ บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
ตระกูลอวิ๋นในที่นั้นแต่ละคนล้วนสะอึกสะอื้นเงียบๆ แต่ไม่มีสักคนที่ร้องไห้เสียงดัง
เด็กหลายคนที่ถูกอุ้มอยู่เริ่มจับเสื้อผู้ใหญ่ร้องไห้ เสียงร้องไห้นั้นมิใช่การร้องไห้เสียงดังตามปกติ แต่เจือไปด้วยความระมัดระวังหลายส่วน ราวกับพวกเขากลัวว่าร้องไห้เสียงดังแล้ว จะยิ่งริดรอนพลังชีวิตของตนลงอย่างรวดเร็ว
“อาจิ่ว”
กลางอากาศพลันมีเสียงอ่อนโยนดังขึ้น
มู่จิ่วหันกลับไปทันที ลู่ยาไพล่มือเดินลงมาจากเมฆทีละก้าว
“เจ้ามาแล้ว!” มู่จิ่วมีชีวิตชีวาขึ้น แม้แต่เสียงยังกระจ่างใสกว่าปกติ “เจ้ามาได้เวลาพอดี! พวกเขา…”
ลู่ยายกมือหยุดคำพูดนาง เดินผ่านกลุ่มคนไปตรงหน้าร่างอวิ๋นรองกลางแท่นหยกราวกับด้านข้างไม่มีคนอยู่
“เจ้าคิดจะทำอะไร?!”
คนตระกูลอวิ๋นไม่เคยเห็นลู่ยา การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขากระตุ้นความหวาดระแวงของกลุ่มคน
เหล่าเด็กตื่นตกใจจึงลืมร้องไห้ อวิ๋นชือฉางแต่เดิมถูกกลิ่นอายความนิ่งสงบของลู่ยาที่ก้าวลงมาจากเมฆทำให้นิ่งไป ตอนนี้เห็นเขามุ่งตรงไปยังอวิ๋นรอง จึงลอยตัวเงื้อฝ่ามือขึ้นฟาดลงไปทันที!
ลู่ยาไม่มองเขา กระทั่งแม้แต่ยกมือขึ้นก็ไม่มี ตอนอวิ๋นชือฉางห่างจากเขาสามฉื่อกลับกระเด็นตกลงห่างออกไปจั้งหนึ่งเสียเอง
“พี่ใหญ่!”
อวิ๋นเฉี่ยนรีบพุ่งเข้าไป แม้แต่อวิ๋นซียังตกใจหน้าถอดสีพุ่งเข้าไป
ทุกคนกำลังมองลู่ยา
แต่ลู่ยากลับยื่นมือออกไปเคลื่อนไปยังชีพจรแต่ละจุดบนร่างราชาจื่อเยวี่ยของพวกเขา
มู่จิ่วทนไม่ไหว เดินเข้าไป “ยังช่วยได้หรือไม่?”
เขาขมวดคิ้ว “พลังวิญญาณของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงล้วนสะสมอยู่ในร่างของราชาแต่ละรุ่น เพราะปีนั้นจื่อเยวี่ยสละร่างกระโจนเข้าไฟ และยังนำพลังวิญญาณออกมาไม่ทัน ดังนั้นพลังวิญญาณชะตาชีวิตจึงรวมอยู่บนร่างเขาคนเดียว หลังจากเขากลับชาติมาเกิด พลังวิญญาณก็นำกลับมาด้วย แต่เดิมล้วนสงบดี เพียงต้องรอให้พลังบำเพ็ญของเขาถึงอายุตอนขึ้นเป็นราชาก็สามารถผ่านพ้นภัยพิบัติไปได้”
“แต่น่าเสียดาย ภายหลังเขาได้รับบาดเจ็บหนัก รากฐานวิญญาณของเขาเสียหายก่อนที่จะควบคุมชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์ได้ กุญแจจันทราหยางมีพลังรักษาจิตต้นกำเนิดและรากฐานวิญญาณ หากมีมันแล้ว การที่เขาจะฟื้นฟูกลับมาก็ไม่เป็นปัญหา หากไม่มี เพียงแค่กุญแจจันทราหยินก็รักษาจิตต้นกำเนิดเขาไว้ไม่ให้ตายได้ชั่วคราว ทว่าก็ไม่มีทั้งสองอย่าง เขาจึงได้แต่ตายตกเท่านั้น ทั้งเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงก็เหี่ยวเฉาโรยราตามไปอย่างรวดเร็ว”
พูดถึงตรงนี้ เขามองระหว่างคิ้วของอวิ๋นฉัวก่อนพูด “หากต้องการช่วยเขาอย่างสมบูรณ์นั้นไม่อาจทำได้ รากฐานวิญญาณและจิตต้นกำเนิดเขาล้วนเสียหาย นี่คือชะตาชีวิต ข้าก็ไม่รู้ว่าแท้จริงเขาบาดเจ็บถึงระดับไหน ตอนนี้ไม่มีหนทางใด แต่หากรักษาไว้สามหรือห้าวันกลับไม่เป็นปัญหา”
ครั้นมู่จิ่วได้ยินคำนี้ ใจช่างเหมือนกับหยดน้ำมันกลิ้งลงไปในน้ำเย็น
แม้แต่เขายังไม่มีหนทางรักษาให้คืนสู่สภาพเดิม เช่นนั้นตระกูลอวิ๋นก็ไม่มีหนทางช่วยแล้ว!
แต่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของเขา ลมหายใจกลับผ่อนขึ้นมาในพริบตาเดียว!
“เจ้าเป็นใคร? มาพูดโม้โอ้อวดอยู่ที่นี่!”
อวิ๋นซีโกรธจนแม้แต่เสียงยังแหบห้าว
แต่ไม่มีใครสนใจเขา คำพูดสุดท้ายของลู่ยากระทบเข้าไปในหูของพวกเขาแต่ละคนเช่นกัน สามารถรักษาไว้ได้สามหรือห้าวันหมายความว่าอย่างไร? รักษาชีวิตเขาได้สามหรือห้าวัน? อวิ๋นฉัวตายนานแล้ว พวกเขาพี่น้องหลายคนรวมกันมีพลังบำเพ็ญหลายแสนปี ก็ยังไม่มีหนทางรักษาพลังวิญญาณและวิญญาณไม่ให้สลายไปแม้แต่น้อย แต่เขาบอกว่าตนสามารถรักษาอวิ๋นฉัวไว้ได้สามหรือห้าวัน?
พวกเขาไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่บนหน้าแต่ละคนกลับเต็มไปด้วยความตกใจระคนสงสัยและความคาดหวัง
เมฆทะมึนที่เมื่อครู่รวมตัวอยู่เหนือศีรษะราวกลับลืมเคลื่อนไหว
ลู่ยาเปิดกรามของอวิ๋นรอง ใส่เม็ดยาเข้าไป จากนั้นหยิบปิ่นหยกออกมาทิ่มปลายนิ้ว หยดเลือดลงไประหว่างคิ้วเขา
………………………………………………………………