ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 214 โลกสองใบ
เขาอยู่บนเนิน นางอยู่ใต้เนิน นางไหนเลยจะยังมีกำลังปีนขึ้นไป?
แต่นางก็ยังขยับ โอนเอน เดินซวนเซเข้าไปหาเขา
ลู่ยาโอบนางไว้ในอก ดวงตาปิดลง น้ำตารินไหลลงมา
เขาจูบผมบนหน้าผากนาง คิ้วของนาง น้ำตาของนาง นางเป็นเด็กดื้อรั้น แต่อ้อมกอดของเขาว่างเปล่า มีนางถึงจะสมบูรณ์
เขาเข้าใจว่าตนเองสูงส่งจนไม่ต้องสนใจนางอีกก็ได้ แต่ชะตาชีวิตกลับชัดเจนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
มู่จิ่วกำเสื้อของเขาไว้แน่น พลันพูดออกมาตอนอยู่ในอ้อมกอดเขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”
โผเข้ามาคือสัญชาตญาณ นางรู้โดยสัญชาตญาณว่าเขาคืออ้อมกอดที่ปลอดภัยที่สุด แต่ทั้งสมองของนางยังท่วมท้นไปด้วยความสับสน
นางเงยหน้ามองเขา ในสายตาไม่มีความดีใจ ไม่มีความตื่นเต้น มีเพียงความสงสัยและสับสน
หากเป็นแต่ก่อน บางทีนางอาจจะอาศัยโอกาสนี้ออดอ้อนออเซาะ ใช้โอกาสนี้เปิดเผยความในใจ แต่สถานการณ์ตอนนี้เอื้อให้นางหรือ?
ความขัดแย้งยังไม่คลี่คลาย
ลู่ยาชะงักมือ แต่กลับยังไม่คลายออก “เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า ตอนนี้สัมผัสไม่ได้ถึงพลังนั้นในร่างกายของเจ้าแล้ว ข้ายังไม่รู้ว่าพลังวิญญาณของบ่อน้ำดำก่อเรื่องขึ้นมาหรือเกิดจากร่างกายเจ้า แต่ข้ามั่นใจได้ว่า การที่มันระเบิดออกมามีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณในป่านี้อย่างมาก อาจิ่ว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าเป็นของข้า”
มู่จิ่วไม่ได้พูดสิ่งใด
ผ่านไปนาน นางจึงเอ่ย “ทำไมเจ้าถึงชอบข้า?”
สายตาลู่ยาเรียบนิ่ง ไม่พูดอะไร
คำถามนี้เขาก็เคยถามตัวเองมาก่อน แต่กลับหาคำตอบไม่เจอ
มู่จิ่วหลังชิดหิน มุมปากยกขึ้น “บางทีข้าคนนี้อาจมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ตอนบำเพ็ญเป็นเซียนสามารถเลื่อนขั้นได้เร็วกว่าผู้อื่นหน่อย แต่ในโลกเทพโลกเซียนสองโลกนี้ แท้จริงไม่นับเป็นอะไรได้ นิสัยข้าก็ไม่ใช่ว่าดีมากนัก ทั้งยังโง่งม ข้าคิดว่าที่ตอนแรกสุดเจ้ามีความรู้สึกต่อข้า เป็นเพียงเพราะว่าเช้าจรดค่ำอยู่ด้วยกัน ทำให้เจ้าสัมผัสถึงความดีเล็กน้อยของข้า ใช่หรือไม่?”
ลู่ยาพูดไม่ออก
มู่จิ่วมองเขา “ลู่ยา เจ้ายกโทษให้ข้าแล้วจริงหรือ? หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่ข้าให้ผู้อื่นยืมกำไลไปแล้ว เจ้ายังโกรธข้าหรือไม่?”
ลู่ยายังคงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
เขาคงยังโกรธ สิ่งที่เขาใส่ใจคือสิ่งที่นางปฏิบัติต่อเขา นางปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร แท้จริงเขาเคยไม่สนใจมาก่อน
มู่จิ่วมองเขา สองตาสงบนิ่งเหมือนกับท้องฟ้าฝนตกยามค่ำคืน “เจ้ารู้หรือไม่? เมื่อครู่ในพริบตานั้นข้าคิดว่าจะเปลี่ยนเพื่อเจ้า เปลี่ยนไปเป็นแบบที่เจ้าหวัง ข้าอยากเปลี่ยนไปเห็นแก่ตัวที่ในสายตามีเพียงเจ้าคนเดียว”
“แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ยังทำไม่ได้ อ๋าวเจียงได้รับบาดเจ็บ ข้าหวังว่าจะมีคนช่วยเขาได้ ข้าเอากำไลให้เขายืม ข้าเพียงถอดออกไปเพราะอยากให้เจ้ารู้ว่าเขาอยู่ไหน”
“หากไม่ใช่อ๋าวเจียง บางทีข้าอาจจะโดนไฟกลืนกินไปแล้วก็ได้ ธาตุทองของข้ากับธาตุน้ำของอ๋าวเจียงล้วนเป็นธาตุพิฆาตกับไฟ หากไม่ใช่เขาที่สละตนช่วยข้า เช่นนั้นข้าคงนอนตายอยู่ที่นั่นแล้ว ข้าคิดว่าในเมื่อเขาสามารถสละชีพช่วยข้าได้ ข้าก็สให้เบาะแสแก่เจ้าให้เจ้ามาช่วยเขาได้ นี่เทียบกับช่วยข้าแล้วมีอะไรต่างกัน?”
“หากข้านำมันติดตัวไป ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะสามารถหาข้าได้เร็วกว่านี้ ข้าไม่ได้ไม่ใช้มันติดต่อเจ้า แต่ในป่านั้นข้าไม่มีหนทางใช้พลังฤทธิ์ส่งไปได้เลย”
“ข้ารู้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในเมื่อข้ารับปากแล้วว่าจะไม่ถอดมันออกส่งเดช เรื่องนี้ข้ายอมรับ”
“แต่เจ้าก็รู้ว่าข้าโง่ ข้าคิดไม่ออกถึงวิธีอื่น หากคนที่ช่วยข้าตายไปเพราะข้า ถ้าเป็นเช่นนั้นข้ายินดีให้ตนเองตายมากกว่า”
“ข้ารู้ความในใจของเจ้า และข้าก็รู้ว่าเจ้าปกป้องข้าทุกอย่าง แต่ลู่ยา ข้าก็มีหลักการในการดำรงชีวิตของข้า หากตอนแรกข้าไม่ใช่คนดีพร่ำเพรื่อเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้ากลับสวรรค์ได้อย่างไร? จะเชื่อคำโกหกของเจ้าแล้วรับเจ้าไว้ได้อย่างไร? ปีนั้นหากข้าไม่ทำตามใจออกหน้าแทนหลานศิษย์ จะพบเจอเจ้าที่ด้านล่างเขาหงชางได้อย่างไร?”
“ข้าไม่คิดว่ามีจิตใจดีเป็นเรื่องผิด ดังนั้นข้าจึงไม่อาจเปลี่ยนเป็นคนเห็นแก่ตัวเพื่อเจ้า พอพูดจากจุดนี้ ข้าคิดว่าบางทีข้าคงชอบเจ้าไม่มากพอจริงๆ ข้ายังคงใส่ใจท่าทางของข้าในสายตาเจ้ามาก หากเจ้าด่าข้า ด่าข้าว่าไม่น่าไม่รอบคอบ ข้าล้วนยอมรับ แต่หากเจ้าบอกว่าข้าเสแสร้งเป็นคนดีมีเมตตา ข้าออกจะรู้สึกเสียใจ”
“แต่เดิมข้าเป็นเพียงคนโง่ที่ทนมองคนได้รับความลำบากไม่ได้ หากข้าปล่อยอ๋าวเจียงทิ้งแล้วจากไป ข้าก็ไม่ใช่ข้าแล้ว แต่ข้ายังรู้ว่าตนมีความผิด หากข้าฉลาดหน่อย บางทีอาจคิดวิธีการที่ดีกว่านี้ หรือหากข้ามีความสามารถหน่อย ข้าคงไม่จำเป็นต้องให้อ๋าวเจียงช่วย ไม่ต้องรอให้เจ้ามาช่วยข้าคลี่คลายทุกเรื่อง”
“แต่ลู่ยา ตอนนี้ข้าสามารถทำได้แค่นี้ หากไม่พบเจอเจ้า ข้ายังคงสามารถมีชีวิตของตนเอง หากไม่ได้พบเจอเจ้า ข้าก็สามารถใช้ชีวิตในทัพสวรรค์จนครบห้าร้อยปี แต่เพราะพบเจอเจ้า ข้าถึงได้พบเจอเรื่องเหนือขอบเขตความสามารถของข้ามากมายขนาดนี้…เพราะเจ้า ข้าถึงได้เห็นโลกที่ต่างออกไป”
“ข้าใช้ความเป็นครึ่งเซียนทุ่มเทชีวิตทำเรื่องของพวกเทพเซียนเช่นเจ้า”
“ข้าทุ่มเทแรงทั้งหมด นานๆ ครั้งก็มีเวลาที่ตามพวกเจ้าไม่ทัน ข้าโง่ ข้าซื่อ ข้าด้อยปัญญา ทำได้เพียงใช้วิธีที่ข้าคิดเองว่าดีแก้ไขปัญหา ในเรื่องนี้ ถึงแม้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง สักแปดเก้าในสิบส่วนข้าก็คงไม่เปลี่ยนทางเลือก และแปดเก้าในสิบส่วนเจ้าก็คงยังโกรธ เพราะเจ้าไม่อาจเข้าใจว่าทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนประเภทข้าที่ไม่ใส่ใจเจ้า”
“ดังนั้นถึงแม้พวกเราดีกันแล้ว ความขัดแย้งก็ยังคงอยู่”
สีหน้าลู่ยาซีดขาวอยู่บ้าง
“ลู่ยา ระยะห่างระหว่างข้ากับเจ้า ไม่ใช่ฐานะเทพเซียนกับหัวเสิน แต่เป็นตัวตนที่แตกต่างกัน ความนึกคิดของแต่ละคน ความสามารถของแต่ละคนไม่เสมอกัน ทำให้พวกเราต้องเกิดความขัดแย้งเช่นนี้ขึ้น ข้าสับสนยิ่งนัก ข้ารู้ว่าความรักคือเห็นแก่ตัว ตอนนี้ข้าสับสนมากจริงๆ ลู่ยา มิสู้เจ้าให้เวลาข้าเรียนรู้ที่จะเห็นแก่ตัว รอให้ข้าเข้าใจตัวข้าเอง แล้วข้าค่อยไปหาเจ้า”
ริมฝีปากทั้งคู่ของนางเม้มลง ประกายในดวงตากลายเป็นเส้นโค้งท่ามกลางความมืด ลงลำธารระหว่างซอกเขาไปพร้อมกับนาง
บางครั้งหากนางเย็นชาขึ้นมา แม้แต่ตัวนางเองยังกลัว
นางยับยั้งตัวเองในเรื่องของเขา คงเพราะมีลางสังหรณ์อยู่ตลอดว่าจะมีความขัดแย้งแบบนี้เกิดขึ้นกระมัง?
เขาเคยชินกับการเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เรียกลม เรียกฝนได้ ตอนเขาอารมณ์ดีสามารถช่วยคนแบบอวิ๋นฉัวกลับขึ้นมาใหม่จากจุดจบ ตอนอารมณ์ไม่ดีสามารถริดรอนพลังบำเพ็ญหลายหมื่นปีของมู่หรงเส่าชิงได้
แน่นอนไม่มีใครกล้าพูดว่าเขาผิด ความเป็นจริงทุกเรื่องที่ทำล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น
แต่นางไม่เห็นด้วย นางจำต้องมาเป็นทหารอยู่ที่สวรรค์ห้าร้อยปีเพื่อสะสมบุญกุศล ไม่อาจไม่แบกรับความน่ารำคาญและความน้อยใจ ไม่อาจไม่เรียนรู้หลักของการเอาตัวรอดอย่างต่อเนื่อง…แต่เขาสามารถเรียกอวี้ตี้เป็นเด็กเฝ้าประตูของหงจวินเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างๆ ในขณะที่นางกลับต้องก้มกราบแล้วก้มกราบอีก
นางไม่ได้รู้สึกไม่ยุติธรรม
เพียงประสบการณ์ของเขากับนางไม่เหมือนกัน การเผชิญโลกไม่เหมือนกัน นี่ล้วนเป็นความจริง
หากกิ่งสูงปีนขึ้นได้ง่ายดายขนาดนั้น โลกมนุษย์คงไม่มีหญิงตรอมใจมากมาย
ดังนั้นนางไม่มีน้ำตาให้ไหลแล้ว ร้องไห้มีประโยชน์อะไร? มีความสามารถก็แก้ปัญหาไป
นางไม่อาจลืมภาพที่นางแทงกระบี่ใส่เขาเมื่อครู่ หากไม่ใช่สุดท้ายจิตใจด้านธรรมเอาชนะด้านอธรรมได้ ภัยพิบัติครั้งใหญ่คงเกิดขึ้นมาแล้ว
นางก็มีใจอกุศล…
อันดับแรกนางต้องรู้ก่อนว่านางคือใคร จากนั้นจึงค่อยคิดเรื่องต่อไปได้
ขณะที่ความคิดนางสับสนวุ่นวาย ทางที่ดีที่สุดคือแยกกันไปสงบใจก่อน
“หงิงหงิง!”
อาฝูเห็นนางเดินไปไกล จึงพุ่งตรงไปหานางราวกับลูกธนู แบกนางขึ้นไปบนหลัง ก่อนส่งเสียงร้องแล้วจากไป
…………………………………………………………