ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 220 เขาช่วยเจ้าได้
หลิวหยางยกถ้วยขึ้นพลางเหลือบมองนางอีก “หากเจ้าเป็นไอมารแปลงกายมา ก็ยังเป็นศิษย์หงชางของข้า”
มู่จิ่วยิ้มน่ารัก พูดอย่างหน้าไม่อาย “เช่นนั้นหากมีวันหนึ่งข้าต้องการมีอำนาจเหนือหกภพ ควบคุมพุทธเต๋าและลัทธิขงจื๊อ อาจารย์จะยังคงยอมรับศิษย์อย่างข้าคนนี้หรือไม่?”
“ข้าได้ยินว่าบนโลกมนุษย์มีโรคหนึ่งชื่อสติฟั่นเฟือน เจ้าเหมือนกับป่วยอยู่ไม่น้อย” หลิวหยางพูดต่อโดยไม่ต้องคิด
มู่จิ่วถูกย้อนจนสำลัก และไออกมา
“ถึงแม้เป็นมารปีศาจก็ไม่มีอะไรน่ากลัว”
หลิวหยางขยับผังดวงชะตาบนโต๊ะ ก่อนพูดอีก “ความคิดมากมายอยู่ในใจคน ใจมารต่างหากเป็นศัตรูของวิถีฟ้า ปีนั้นทงเทียนเจี้ยวจู่ทำตามอำเภอใจ รับศิษย์ไม่สนความเป็นมา ไม่เห็นลัทธิฉ่านอยู่ในสายตา ดังนั้นเขาจึงมีศิษย์ทุกรูปแบบ แต่คำสอนแรกเริ่มของพวกเขาไม่ได้ทำลายโลกนี้ ทว่าใช้ความสามารถตัดสินระดับอย่างเปิดเผย ไม่ใช่นับตามลำดับรุ่น”
มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนเอ่ย “แต่คนส่วนใหญ่ในใต้หล้าไม่ได้ตัดสินค่าเช่นนี้”
“เรื่องนี้สำหรับทงเทียนเจี้ยวจู่ ความจริงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย มีเพียงลัทธิฉ่านที่มองชื่อเสียงตำแหน่งของพวกเขาสำคัญกว่าชีวิต” หลิวหยางจิบชาคำหนึ่งก่อนพูด “ยิ่งไปกว่านั้น สำนักมีดาษดื่นในหกภพ ไหนเลยจะมีคำพูดที่บอกว่าเจริญรุ่งเรืองไม่เสื่อมถอย? สิ่งที่ไม่สูญสิ้นมีเพียงวิถีฟ้า คนมีคุณธรรม คุณงามความดีจะคงอยู่ตลอดไป”
มู่จิ่วพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ความหมายของอาจารย์คือไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือมาร หากทำตามวิถีฟ้าย่อมได้มรรคได้ผล”
“ถูกต้อง” หลิวหยางพูด “การดำรงอยู่แต่แรกเริ่มของโลกมารไม่ใช่เพื่อต่อต้านฟ้าดิน เพียงแต่ภายหลังใต้หล้าต้องการความสมดุล เพื่อการดำรงอยู่แล้วลัทธิเจี๋ยจึงไปทางสายมาร ถึงได้มีสงครามในปีนั้น หนทางบำเพ็ญของพวกเราล้วนให้ความสำคัญกับความสมดุล มีพระอาทิตย์ย่อมมีพระจันทร์ มีเซียนสายธรรมย่อมมีมารปีศาจฝั่งตรงข้าม ไม่มีฝั่งไหนสามารถกุมอำนาจเหนือใต้หล้า”
“และถึงแม้ทางสายธรรมกุมใต้หล้าไว้ เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายก็สามารถผันไปทางมารได้ พลังมารยืนหยัดมานานแล้ว สามารถมีกำลังที่แข็งแกร่งเกิดขึ้นมา เกื้อหนุนและพิฆาตกัน ไม่มีใครทำลายอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด เมื่อเจ้าเข้าใจจุดนี้แล้ว ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าก็ไม่อาจสูญเสียเนื้อแท้ไปได้”
มู่จิ่วครุ่นคิดก่อนเอ่ย “คำพูดอาจารย์ทำให้ข้านึกถึงลัทธิฉ่านในตอนนี้ ยามนี้ลัทธิฉ่านเหมือนตกอยู่ในการแก่งแย่งลาภยศ มีศิษย์ที่ไขว่คว้าหาชื่อเสียงมากมาย”
หลิวหยางไม่ได้ตอบ นิ่งอยู่นานค่อยกล่าว ”เมื่อเจริญถึงขีดสุดย่อมมีวันต้องสูญสิ้น ทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อไป”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง นางเหมือนจำได้ว่าลู่ยาก็เคยพูดประโยคคล้ายๆ กันนี้…
“เจ้าไม่ต้องคอยกังวลว่าที่มาของเจ้าจะมีปัญหา” หลิวหยางพลันเปลี่ยนหัวข้อ ก่อนพูดอีก “ความบริสุทธิ์ของพลังของเจ้าหาได้ยากมาก มารปีศาจไม่สามารถมีพลังฤทธิ์ที่บริสุทธิ์เช่นเจ้าได้ และไม่เพียงพลังของเจ้าบริสุทธิ์ ใจของเจ้าก็บริสุทธิ์ด้วย ในใต้หล้านี้มีเรื่องไม่ชัดเจนอยู่มากมาย หากคิดมากจะกลับกลายเป็นเสียแรงเปล่า”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” มู่จิ่วพยักหน้า “แต่เมื่อไม่เห็นชาติก่อน จะเตรียมป้องกันไม่ให้พลังระเบิดออกอีกอย่างไร?”
หลิวหยางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “พลังฤทธิ์ของเจ้าระเบิดออกเพราะลู่ยา ฟื้นคืนสติจากการสูญเสียการควบคุมในพริบตาก็เพราะเขาเช่นเดียวกัน ความลับนี้ เกรงว่ามีเพียงลู่ยาเท่านั้นที่จะช่วยเจ้าคลี่คลายได้”
เมื่อพลันได้ยินเขาพูดถึงลู่ยา ใจของมู่จิ่วก็บีบรัดอีก
นางก้มหน้าพูด “ช่างเถอะเจ้าค่ะ วันนั้นข้าต่อว่าเขาไปเช่นนั้นแล้ว ข้าจะยังมีหน้าไปหาเขาได้อย่างไร”
หลิวหยางพูด “รอเจ้าคิดตกดีแล้วค่อยกลับไปหา”
มู่จิ่วแค่นหัวเราะในลำคอ “ข้าคิดมาเดือนหนึ่งแล้วยังคิดไม่ตกเลยเจ้าค่ะ”
หลิวหยางหลุบสายตาลง มองนางอยู่สักพักจึงพูด “คิดยากขนาดนั้นเลยหรือ? เจ้าเคร่งเครียดไปเสียทุกเรื่อง เพียงแค่กังวลอุปสรรคกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตมากเกินไป เจ้ากำลังสับสนตัวเองอยู่”
มู่จิ่วไม่กล้าพูด
นางก็ไม่รู้ว่ากังวลหรือไม่ เพราะฐานะต่างกัน อุปสรรคและการเปลี่ยนแปลงที่เจอในอนาคตคงเยอะจนนับไม่หมด สุดท้ายจะทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าและห่างไกลกันไป จะถือสาว่าเขาพูดจาร้ายกาจ ความคิดของพวกเขาไม่ตรงกัน หรือความแตกต่างที่ดำรงอยู่ เรื่องเหล่านี้แน่นอนว่าล้วนเป็นความจริง แต่ดูไปแล้วนางเพียงอาศัยโอกาสอ้างให้เขาเห็นถึงความต่างชั้นเท่านั้น
แต่ความกังวลเช่นนี้ ก็ทำให้นางไม่กล้าตอบเขาไปตรงๆ
นางฟังจบก็ไม่พูดสิ่งใด อีกนานกว่าจะเปลี่ยนท่านั่ง เม้มปากมองเขา ก่อนถาม “แต่ก่อนทำไมข้าไม่เคยได้ยินอาจารย์พูดเรื่องเหล่านี้มาก่อน?”
“เพราะเจ้าก็ไม่เคยชอบใครมาก่อน” หลิวหยางยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนพูดช้าๆ
แก้มทั้งสองของมู่จิ่วร้อนผ่าว รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
ทว่าคำพูดนี้ของหลิวหยางทำให้มู่จิ่วผ่อนคลายขึ้นมาก ตรวจสอบภูมิหลังของนางไม่พบเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ตอนนี้นางยังคิดไม่ตกว่าจะไปหาลู่ยาอย่างไร ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ
ก็ไม่รู้ว่าช่วงนี้ลู่ยาทำอะไรอยู่
กลับไปยังสวรรค์อันสูงส่งเขาก็คงลืมเรื่องยุ่งยากทั้งหมดแล้วกระมัง?
นางหยิกมือพลางแอบครุ่นคิด
แต่หลังจากนั้นนางกลับสงสัยในคำพูดของหลิวหยาง คืนนั้นที่กลับมาเขายังไม่รู้เรื่องที่สวรรค์ของนางเลยแม้แต่น้อย ทำไมลงเขากลับมารอบนี้กลับรู้เรื่องประสบการณ์ของนางอย่างชัดเจน? ในครึ่งเดือนนี้เขาไปที่ไหนมานะ?
เขาที่ยังเป็นจินเซียน ต่อหน้าลู่ยาแล้วอย่างไรก็นับเป็นรุ่นเล็ก ทำไมเขาถึงพูดเรื่องระหว่างนางกับลู่ยาได้อย่างไม่สับสนลนลาน? ยังมีรุ่ยเจี๋ยที่เป็นลูกศิษย์ของลู่ยา ฐานะนี้อยู่ในสวรรค์ล้วนไม่อาจดูแคลน ทำไมเขาถึงเหมือนกับคนไม่สนใจเลย และไม่ได้แสดงท่าทีว่าต้องปฏิบัติตนเป็นพิเศษอะไรด้วย?
นางรู้สึกว่าช่วงนี้หลิวหยางเปลี่ยนไปแล้ว
แต่ส่วนที่ดีกับนางยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เขามีเวลาว่างก็สอนวิชาให้นาง ไม่ว่างก็ให้นางช่วยหลอมยา ดูผังดวงชะตา ตอนนี้แม้แต่เวลานางไม่สำรวมก็ไม่ด่าทออย่างโหดร้ายอีกแล้ว ถึงแม้เรื่องอื่นไม่มีอะไรต่าง แต่มู่จิ่วเชื่อว่าอาจารย์ย่อมดีใจที่นางกลับบ้านหลังจากไปปีกว่า
วันนี้นางได้รับกระเรียนกระดาษตอบกลับจากซ่างกวนสุ่น ถึงได้รู้ว่าหลังนางไป ลู่ยายังอยู่ช่วยจัดการเรื่องตอนท้ายของตระกูลอ๋าวและตระกูลอวิ๋น ทุกวันนี้ซ่างกวนสุ่นยังอยู่ที่ทิวเขาริ้วหยก ในจดหมายเพียงบอกคร่าวๆ เขาถามถึงเสี่ยวซิง มู่จิ่วอยู่ในห้องหลิวหยางพอดี จึงหยิบพู่กันของหลิวหยางมาเขียนจดหมายตอบกลับเขาไป
หลิวหยางถาม “คดีตระกูลอ๋าวนั้นเป็นมาอย่างไร?”
วันนั้นมู่จิ่วเพียงพูดถึงเรื่องเขาคุนหลุนตะวันออกกับเขา พวกเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน จึงเล่าเรื่องที่นางสังหารเฉินผิงที่เกาะเป่ยอี๋ “ได้ยินว่าตอนนี้คลี่คลายแล้ว อ๋าวเชินไปหาลู่ยาที่วังชิงเสวียนแล้ว หลังจากนี้ห้าร้อยปีเขาสามารถเอากุญแจจันทราให้ตระกูลอวิ๋นยืม ส่วนอวิ๋นฉัวได้กุญแจจันทราหยางแล้วเตรียมปิดด่าน”
หลิวหยางฟังจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง วางยันต์ในมือก่อนถาม “ห้าพันปีก่อน?”
“ไม่ผิด” มู่จิ่วพยักหน้า “เป็นห้าพันปีก่อน อ๋าวเชินถูกพลังวิญญาณในบึงน้ำดำทำร้าย และหลังจากนั้นไม่นานอวิ๋นฉัวก็ถูกคนลึกลับทำร้ายอีก”
พูดถึงตรงนี้นางก็รู้สึกเสียดาย ถึงแม้ตอนนี้เรื่องตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นทั้งสองจะจบลงแล้ว แต่กลับยังหาผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่พบ ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด?
………………………………………………