ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 227 เจ้าติดค้างข้า
วังชิงเสวียนห่างจากประตูสวรรค์สามสี่พันลี้ แต่สำหรับพวกเขาแล้วไม่เป็นปัญหา
พริบตาเดียวเท่านั้น ลู่ยาก็ขี่เมฆมาถึงประตูสวรรค์
ยังห่างจากประตูสวรรค์อีกหลายลี้ เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่เข้าพวกขุมหนึ่ง นี่ไม่ใช่กลิ่นอายส่วนหนึ่งของสวรรค์อันสูงส่ง มันเป็นกลิ่นอายที่มาจากโลกข้างล่าง
มีคนมาหรือ?
เขาลอยเข้าไปใกล้อีกหน่อย กลิ่นอายนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น และยังคุ้นเคยอย่างมาก
กลิ่นอายนี้คุ้นเคยถึงระดับไหน? เขาเพียงตอบสนองเล็กน้อย หัวใจในช่วงอกก็เริ่มเต้นตึกตัก
เขามองไปยังประตูสวรรค์ที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม ใจเต้นเหมือนกับมีอะไรบางอย่างดันออกมา
นอกจากนาง เขาไม่อาจคุ้นเคยกับกลิ่นอายของคนอื่นได้ขนาดนี้!
เขาพุ่งเข้าไปราวกับลม ประตูสวรรค์มีคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นดังคาด กอดเข่าทั้งสองมองนิ่งไปยังชั้นทะเลเมฆด้านหน้า
เป็นนาง นางมาแล้วจริงๆ…
มือทั้งสองของเขากำหมัดแน่น ไม่ง่ายนักที่จะควบคุมตนเองไม่ให้บินเข้าไป!
นางไม่ใช่อยู่ที่หงชางอย่างดีหรือ มีอาจารย์และยังมีศิษย์พี่มากมายขนาดนั้นอยู่ด้วย นางยังจำเขาได้?
ยังรู้จักมาหาเขา?
กลับเพิ่งมาเอาตอนนี้!
มู่จิ่วนั่งอยู่ใต้ป้ายชื่อครู่หนึ่ง กำลังกายฟื้นคืนกลับมามากแล้ว ความคิดก็กระจ่างขึ้นมาก
นางเข้าไปไม่ได้ และก็พบเขาไม่ได้เช่นกัน แต่เพียงจินตนาการว่าเขาเคยผ่านที่นี่มาก่อน บางทีอาจเคยหยุดตรงจุดที่นางอยู่ ใจก็สงบขึ้นมา
นางยืนขึ้นปัดๆ รอยยับบนกระโปรง ก่อนลงชั้นบันไดไป
นางยังสามารถมาได้อีก มารับลู่ยาของนางกลับไป
บันไดมีราวร้อยขั้น แต่ละก้าวราวกับเหยียบลงบนหัวใจ
นางมองท้องฟ้า บนสวรรค์อันสูงส่งแห่งนี้ที่แท้ในเวลาเช้าก็มีดาว เพียงแต่ดาวที่อยู่ใกล้กลายเป็นดาวเล็กๆ ใหญ่ๆ ในจักรวาล เหมือนเพชรขนาดใหญ่หลายเม็ดที่แขวนอยู่บนผืนฟ้า ท่ามกลางดาวมีเมฆลอย ทั้งดูสวยงามและลึกลับ
นางมาชื่นชมทิวทัศน์งดงามนี้ได้อีก สามารถขอให้เขาพานางไปดูทางช้างเผือกดูดาวได้
อารมณ์นางดีขึ้นมากแล้ว นางอาลัยอาวรณ์ทิวทัศน์งามนี้ ยกเท้าที่จะเดินลงไปไม่ขึ้น และตอนนี้ท้องฟ้าที่แต่เดิมสงบเงียบ กลับพลันมีวิหคแดงตัวหนึ่งบินมา มันลากหางยาวๆ เต้นรำอยู่กลางอากาศจนปรากฏเป็นแสงทอง ตามมาด้วยเสียงดนตรีที่ดังขึ้นอย่างช้าๆ
นางเข้าใจว่าเป็นเพียงข้ารับใช้เซียนในประตูสวรรค์ ดูอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเดินลงไปต่อ
แต่ทิวทัศน์งดงามนี้กลับไม่หยุด นางเพิ่งยกเท้าขึ้นก็มีนกชิงหลวนสองตัวมาขวางทางเดินนาง พวกนางใช้ท่วงท่าเต้นรำแบบเดียวกันทำให้ทะเลเมฆด้านหน้าส่องแสงห้าสีออกมา ขณะเดียวกันเสียงหงส์ขับขานกลางอากาศยิ่งมากขึ้น มู่จิ่วเงยหน้าดู นกหงส์ทั้งหมดเจ็ดแปดตัวเต้นรำล้อมรอบนาง แสงเรืองรองเต็มท้องฟ้าพลันส่องมายังนางที่กำลังทุลักทุเลจนอาบไปด้วยสีทอง…
ทิวทัศน์ที่น่าตื่นตะลึงขนาดนี้ นางเคยเห็นมาก่อนเพียงครั้งเดียว
ลู่ยา…
ลู่ยา!
นางพลันหมุนตัวไป เห็นเพียงประตูที่นางอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้พลันปรากฏร่างคนผู้หนึ่งให้เห็น เขานั่งขัดสมาธิบนเมฆ สวมเสื้อสีเรียบซึ่งสง่างามยิ่งกว่าเมฆขาวที่ตนนั่ง ใบหน้าที่ไม่เหมือนใครอาบไปด้วยแสงจันทร์ แววตาเหมือนรวมแสงทั้งฟ้าดินไว้ ขลุ่ยหยกในมือเป็นหยกชั้นหนึ่ง แต่เทียบกับใบหน้าเขาแล้วด้อยกว่าไม่น้อย…
“ลู่ยา…”
ร่างกายมู่จิ่วสั่นเล็กน้อย ชีพจรทั้งร่างราวกับหยุดนิ่ง เสียงหงส์กับเสียงดนตรีที่ริมหูกลายเป็นเสียงรางเลือนซึ่งมาจากขอบฟ้าห่างไกล
นางยกกระโปรงวิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง หอบหายใจแรงยามหยุดตรงหน้าเขา พลางมองใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมาสองเดือน
นางปิดตาก็สามารถวาดเค้าหน้าของเขาออกมาได้ แต่ไหนแต่ไรนางไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ในใจนางอย่างลึกซึ้งขนาดนี้
ลู่ยาช้อนสายตาขึ้นสบตานางที่อยู่ใกล้นัก
สี่สายตาสบกัน ต่างก็เงียบงันกันไป
มู่จิ่วไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แต่เดิมก่อนมาคิดไว้ว่ามีคำพูดมากมายอยากพูดกับเขา แต่เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเจอเขา คำพูดเหล่านั้นจึงติดอยู่ที่คอ พวกมันค่อยๆ รวมตัวกันกระโดดออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่มีบทสรุปว่าใครจะเป็นฝ่ายพูดก่อน
แต่อย่างไรนางก็ต้องพูด นางมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อนิ่งเงียบ
เช่นนั้นอาจไม่ต้องพูด ทำอะไรบางอย่างก็ได้กระมัง?
นางลังเลอยู่ที่เดิมนานสองนาน เหลือบมองเขาสองครา พลันใจกล้าเดินไปข้างหน้าสองก้าว เมื่อไปถึงตัวเขาก็คุกเข่านั่งลง ยื่นมือไปใต้แขนเสื้อเขาอย่างระมัดระวังแล้วกอดเอวเขาไว้
เขาคงไม่ผลักนางออกหรอกนะ?
ดูจากท่าทางของเขา ช่างไม่แน่นอนเลยจริงๆ
ความคิดทั้งหมดของนางจดจ่ออยู่กับปฏิกิริยาของลู่ยา กลัวว่าเขาจะไม่พอใจโยนนางกลับสวรรค์ชั้นเก้า
แต่เขาไม่ขยับ แม้แต่นิดก็ไม่เคลื่อนไหว
ไม่ไล่นางไปและไม่ตอบสนอง
ลู่ยาก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะอดทนไม่กอดกลับไป เขาเข้าใจว่าตนเพียงรอนางมาก็พอแล้ว แต่ถึงตอนนี้ เขากังวลอย่างมากว่านางจะหุนหันพลันแล่น กังวลว่าเป็นเพราะนางรู้สึกผิด นางเข้าใจจริงๆ หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่? มิใช่ว่าเคยชินกับการอยู่ด้วยกันมานาน แยกจากกันกะทันหันแล้วปรับตัวไม่ได้จึงมาหาเขาหรือ?
มู่จิ่วสัมผัสได้ นางปล่อยมือก่อนพูด “ลู่ยา ข้าขอโทษ”
เขาส่ายหน้า ยังคงไม่พูด
มู่จิ่วไม่เข้าใจเขา แต่เขาที่เป็นแบบนี้ทำให้ใจนางหนักอึ้ง
บางทีหากเขาโกรธนาง ใส่อารมณ์กับนางคงดีกว่านี้
“เจ้าทำเหมือนแต่ก่อนข้าไม่ได้ชอบเจ้า ทำเหมือนเมื่อก่อนข้าไม่มีหัวจิตหัวใจ ตั้งแต่ตอนนี้ไปข้าเริ่มชอบเจ้าได้หรือไม่?”
หางตาของลู่ยาแสบร้อน เขาลุกขึ้นมาช้าๆ จากนั้นหมุนตัวไป
มู่จิ่วรู้สึกมือทั้งสองเย็นอยู่บ้าง
เดิมทีนางคิดว่าขอเพียงเขามีปฏิกิริยาสักหน่อย นางก็คงมีความมั่นใจนำเขากลับมา
แต่ตอนนี้เป็นเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าพูดอะไรล้วนเหมือนพูดแก้ตัว
ลู่ยาสูดหายใจเข้าลึก วังบนทิวเขาที่ไกลออกไป ตอนนี้พลันเริ่มพร่ามัว
นางติดค้างเขาขนาดนั้น นางควรพูดความรู้สึกที่ติดค้างเขาทั้งหมดออกมาถึงจะถูก
“ลู่ยา” มู่จิ่วมองเท้า “ไม่อย่างนั้น ภายหลังเปลี่ยนเป็นข้าชอบเจ้า เจ้าไม่ต้องชอบข้า รอจนเจ้ารู้สึกว่าข้าทำให้เจ้าสบายใจขึ้นหน่อยเมื่อไหร่ เจ้าค่อยบอกข้าอีกที ข้ารู้แล้ว หากข้าไม่ชอบเจ้า ชีวิตนี้ข้าคงไม่อาจมีความรู้สึกต่อผู้อื่นได้แล้ว ถึงแม้ข้าอายุยังน้อย แต่เวลาสองพันปีก็เพียงพอจะทำให้ข้าเข้าใจว่าข้าต้องการอะไร ข้าเพียงต้องการอยู่กับเจ้าตลอดไป”
นางเงยหน้ามองแผ่นหลังของเขา ก่อนพูดอีก “แต่เดิมครั้งนี้ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้า ไม่รู้ว่าข้าทำให้เจ้าไม่พอใจหรือไม่ เดิมทีเพียงคิดว่าจะมาดูสถานที่ที่เจ้าอยู่ ข้าไม่เคยรู้ว่าที่ที่เจ้าอยู่เป็นอย่างไร ในเมื่อตอนนี้รู้แล้ว เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ” นางชะงักไปสักครู่ แล้วจึงเอ่ยอีก “เจ้ารักษาตัวดีๆ”
พูดจบนางเม้มริมฝีปากทั้งสอง หมุนตัวลงชั้นบันไดไป
หยดน้ำตาร่วงหล่นลงบนบันไดหลังจากหมุนตัวมา นี่คงเป็นความรู้สึกใจสลายของเขาในตอนนั้นกระมัง?
ผลกรรมสนองนางโดยแท้แล้ว
“กัวมู่จิ่ว!”
ด้านหลังพลันมีเสียงของเขาดังขึ้น มู่จิ่วหยุดเท้า หันกลับไปมอง
เขามองนางอยู่ภายในเมฆหมอก “เจ้าติดค้างข้า ยังคิดจะคืนหรือไม่?”
ริมฝีปากทั้งสองของมู่จิ่วเม้มแน่น
ลู่ยาเดินลงมาช้าๆ แววตาเหมือนกับดาวยามค่ำคืนมองตรงเข้าไปในตานาง “ปลาที่ซื้อนอกประตูสวรรค์แดนใต้ เจ้ายังไม่ทำให้ข้ากินไม่ใช่หรือ”
น้ำตามู่จิ่วไหลรินลงมา ก่อนนางจะกระโจนเข้าไปในอ้อมอกเขา
………………………………………………