ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 228 น่าตกใจเกินไปแล้ว!
ลู่ยากอดนางไว้ กระบอกตาเริ่มแดงแล้ว
แขนแข็งแรงคู่หนึ่งรัดบนร่างนาง ราวกับจะกดนางเข้าไปในกระดูก
เขาสามารถเอาคืนในเรื่องเล็กน้อยได้ สามารถไม่อดทนกับเรื่องเล็กๆ ได้ แต่เมื่อการลงโทษทั้งหมดมาถึงนางแล้วกลับทำไม่ลง
ช่างเรื่องนู้นเรื่องนี้ของเขาเถอะ สิ่งที่เขาไม่ขาดที่สุดคืออายุขัย แค่สละชีวิตนี้ให้นางทำไมจะไม่ได้? มอบให้นางไปทรมานทรกรรมดีแล้ว
นอกและในประตูสวรรค์มีเมฆลอย เหล่านกชิงหลวนและวิหคแดงเริ่มหยุดพักผ่อนบนหิน เสียงดนตรีไม่รู้ว่าหยุดไปตอนไหน รอบด้านสงบลง แม้แต่เสียงโวยวายของกระดิ่งในวังชิงเสวียนก็ไม่ได้ยินแล้ว
ลมรอบด้านเคียงคู่กับเสียงพูดคุยเบาๆ ของพวกเขา ความรู้สึกที่ห่างกันไปสองเดือน ในที่สุดก็ดำเนินต่อไป
ไกลออกไปบนแท่นเมฆหอจูสวี่ หนี่ว์วาพิงรั้วหยกพลางถอนหายใจ “ช่างเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ”
“ใครบอกเล่าว่าไม่ใช่?” หุนคุนยกริมฝีปาก
พวกเขาอายุยืนยาวเท่าฟ้า ในชีวิตไม่มีเคราะห์กรรมขนาดเป็นตาย จุดจบของชีวิตอมตะก็ทำได้เพียงอยู่ที่สวรรค์อันสูงส่งนี้เคียงคู่ไปกับฟ้าดินชั่วนิรันดร์
ดูไปแล้วก็ดี แต่ความโดดเดี่ยวกลางใจกลับไม่มีใครเข้าใจได้
เขาหวังจริงๆ ว่าลู่ยาจะสามารถมีใครสักคนเคียงข้าง ไม่โดดเดี่ยวเหมือนเขาแบบนี้
อันที่จริงสวนผักของเขาใกล้จะเพิ่มเป็นสองสวนแล้ว!
พวกมู่จิ่วอิงแอบกันอยู่ครู่หนึ่ง อารมณ์ความรู้สึกนับว่าฟื้นคืนมาแล้ว
สองคนยิ้มมองกันเหมือนคนโง่ ยิ้มไปยิ้มมาก็กอดกันอีก เหล่าวิหคแดงด้านข้างมองจนเหนื่อยและจากไปนานแล้ว พวกเขายังคงใกล้ชิดกันไม่เลิก
แต่เดิมลู่ยาแทบอดกลั้นไม่ไหว อยากพานางไปพบหุนคุนและหนี่ว์วา แต่เพราะคิดว่ามาครั้งนี้นางเสียเวลาไปไม่น้อย รู้ว่าหลิวจวิ้นคนนั้นพูดด้วยยาก ไหนเลยจะยินยอมให้นางถูกต่อว่า? จึงกลับสวรรค์ชั้นเก้าไปกับนางทันที
ตอนกลับถึงสวรรค์ฟ้าก็มืดแล้ว
แต่ท้องฟ้ามืดนี้ไม่ใช่คืนเดียวกับตอนที่มู่จิ่วออกจากบ้านไป หนึ่งวันบนสวรรค์อันสูงส่งเทียบเท่ากับหนึ่งเดือนในสวรรค์ชั้นเก้า ตอนนางเสียเวลาอยู่ที่ประตูสวรรค์ ที่จริงสวรรค์ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว
ในสิบวันนี้เสี่ยวซิงร้อนใจจนเกือบเอาหัวโหม่งกำแพง ตอนมู่จิ่วไปบอกเพียงว่าไปเดินเล่น ผลคือไม่เห็นเงานางเสียหลายวัน! แต่ก่อนยังมีลู่ยาสามารถร้องขอให้ช่วย ตอนนี้แม้แต่ลู่ยาก็ไม่อยู่ ซ่างกวนสุ่นก็ไม่อยู่ เริ่มแรกหลายวันยังทำใจเย็นได้อยู่ แต่ต่อมากลับเหมือนมีใบสนเข็มแผ่อยู่ในผ้าห่ม อย่างไรก็สงบนิ่งไม่ได้แล้ว
ในหน่วยก็มีคนมาถามหาเช่นกัน ก่อนอื่นเป็นคนของกองบัญชาการถิงเว่ย นางอ้างไปว่ามู่จิ่วป่วย ภายหลังหลิวจวิ้นมา นางไม่มีหนทางอื่น จึงทำได้เพียงพูดความจริง ถึงอย่างไรนี่ก็คือการหนีงาน ประพฤติผิดต่อหน้าที่ หลิวจวิ้นโกรธจัด สุดท้ายไม่รู้อย่างไร กลับไม่ทำสิ่งใด เพียงบอกว่าหากนางกลับมาแล้วให้นางไปพบเขาทันที
เสี่ยวซิงกังวลอย่างมาก กลางคืนนอนไม่หลับ ตอนเช้าจึงตื่นสายหน่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยามลุกขึ้นเดินไปถึงระเบียงทางเดิน เห็นประตูห้องมู่จิ่วเปิดไว้ เมื่อมองไปอีกที ด้านในเหมือนจะมีคน!
เสี่ยวซิงรีบพุ่งเข้าไปถึงปากประตูห้องนาง ยังไม่ทันได้พูด สายตาคมกริบก็พลันมองมา! ลู่ยานั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง มู่จิ่วนอนหนุนตักเขาหลับสนิท!
เสี่ยวซิงสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป นางพลันยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ไม่อาจขยับได้!
เขามาได้อย่างไร?!
มู่จิ่วกลับมาแล้ว?!
กลับมากับเขา?!
ที่แท้นางไปหาเขาที่สวรรค์อันสูงส่ง?!
เช้าตรู่ทำไมเขาถึงอยู่ในห้องนางได้?! และมู่จิ่วยังนอนอยู่หนุนตักเขาด้วย?!
ที่จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรกับพวกเขากันแน่?!
เสี่ยวซิงรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเป็นลม
แรงกระทบกระเทือนนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าแต่เช้าตรู่ก็ทำให้นางตื่นตกใจแบบนี้! คนถือดีขนาดนั้นไม่กลับมาดูจิ๋วจิ่วตั้งนาน ตอนนี้กลับมาแล้ว คงไม่ใช่ว่าจิ๋วจิ่วสละเรือนร่างตนเองพาเขากลับมาหรอกกระมัง?!
…สวรรค์!
“เสี่ยวซิง เจ้าเป็นอะไร?”
รุ่ยเจี๋ยและอาฝูที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็ออกมาเช่นกัน
ฟากนี้กำลังตื่นตะลึง ด้านในก็มีเสียงลู่ยาดังออกมา “รุ่ยเจี๋ย พาอาฝูไปฝึกฝน!”
คราวนี้รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูพลันเปลี่ยนไปเหมือนเสี่ยวซิง!
รุ่ยเจี๋ยตกใจจนดวงตาจิ้งจอกทั้งสองเบิกกว้างมาก
ถึงแม้ดวงตาอาฝูไม่โตนัก แต่ก็ตกใจจนยืนขึ้นมาแนบชิดกับกำแพง สองอุ้งเท้ายกขึ้นจากพื้น กุมไว้ตรงหน้าอกกลายเป็นแมวแช่แข็งไปแล้ว!
อาจารย์กับอาจิ่ว…
ใครมาบอกพวกเขาที แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น…
หลังจากเหลือบมองพวกเขาอยู่ในห้อง ลู่ยาก็ยื่นมือไปเกี่ยวผมของคนบนตักขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ยังเป็นสถานที่ที่มีนางถึงจะอยู่อย่างสบาย วังชิงเสวียนถึงแม้ใหญ่โต ถึงแม้เหล่าวิหคแดงร่ายรำได้งดงาม แต่ไม่มีนางอยู่ อย่างไรในใจก็ว่างเปล่า อยู่ที่นี่ถึงแม้ต้องอบรมสั่งสอนศิษย์ แต่เพียงมีนางอยู่ข้างกาย ถึงแม้เขาจะรับศิษย์สิบกว่าคนก็ไม่เป็นปัญหา
นางที่อยู่บนหน้าตักให้เขาร่ายคาถาสงบใจ ตอนนี้ยังหลับสนิท
ตั้งแต่พบเจอกันเขาก็ตัวติดกับนาง ที่จริงสองสามชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่มากพอ
ขณะเขากำลังครุ่นคิด มู่จิ่วก็พลิกตัว แพขนตาขยับก่อนลืมตาขึ้น เมื่อเงยหน้าสายตาก็ตกไปอยู่บนใบหน้าเขา
ตอนลุกขึ้นนั่งแขนนางอ่อนแรงจนเกือบล้มลงไป เมื่อคืนวานตอนกลับถึงบ้านฟ้าใกล้สว่างแล้ว แต่คล้ายจะไม่ง่วงเลย จึงพูดคุยกันต่อในห้อง ราวกับต้องการเอ่ยคำพูดตลอดสองพันปีนี้ออกมาให้หมด ถึงแม้บนหน้าลู่ยายังดีอยู่ ไม่ให้นางได้เห็นอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม แต่นางไม่ใช่คนตาบอด มองรอยฟันนี้ที่เขากัดบนแขนนางก็รู้แล้ว
“เจ็บหรือไม่?”
ขณะกำลังเลิกแขนเสื้อขึ้นดู เขาก็ยื่นมือมาลูบ
นางสบตาเขาก่อนส่ายหน้า “ไม่เจ็บ”
เขาโอบกอดนางเข้ามา จับแขนนางไว้ในมือ ดึงปิ่นจากบนศีรษะมาวาดไปวาดมาบนรอยฟันนั้น
มู่จิ่วก็ไม่ขยับเขยื้อน เพียงมองเขาวาด ปิ่นนั้นไปถึงตรงไหน ตรงนั้นก็มีแสงทองออกมา ไม่นานรอยฟันนั้นก็กลายเป็นดอกบัวทองสามสิบหกชั้นที่เปล่งแสงสีทองดอกหนึ่ง ส่องประกายอยู่บนต้นแขนนาง
“แบบนี้ก็ไม่น่าเกลียดแล้ว มันเปลี่ยนมาจากพลังหยั่งรู้ของข้า เป็นยันต์คุ้มครองเจ้า มีมันอยู่ พลังภายนอกยากจะทำร้ายเจ้า และมีประโยชน์ต่อการควบคุมพลังฤทธิ์ภายในร่างเจ้าด้วย” เขามองดอกบัวนี้ ก่อนมองนางอีก “เพียงแต่วาดไปครั้งนี้แล้ว ก็ลบออกไปไม่ได้อีก”
มู่จิ่วหน้าแดงดึงแขนเสื้อลง กลับไม่ได้พูดสิ่งใด
ก่อนหน้านี้นางรับปากเขาแล้วว่าจะไม่ทิ้งของ สุดท้ายก็ยังทิ้งมันไป หากยังสัญญาอะไรต่อหน้าเขาคงจะดูไม่จริงใจเกินไปหน่อยกระมัง
ให้การกระทำของนางเป็นเครื่องมือยืนยันดีกว่า
ลู่ยาก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
กระทั่งความคาดหวังเขาก็ยังไม่มี ไม่ใช่ว่าหมดหวังในตัวนาง แต่เขาคิดตกแล้ว หากเป็นตอนนางลำบากจริง แบบนั้นก็ให้นางทิ้งไปดีแล้ว! เพียงนางไม่ได้ตั้งใจทำ อย่างมากเขาก็แค่ให้นางอีก ถึงอย่างไรก็ว่างไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ศึกษาว่าทำอย่างไรถึงให้นางสามารถเก็บสิ่งของไว้ให้ดีกว่านี้ก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่งเหมือนกัน
“กำไลนี้ไม่ต้องใส่แล้ว วันหลังข้าค่อยทำให้เจ้าใหม่”
เขาถอดกำไลม่วงทองออกจากมือนาง ของชิ้นนี้ถึงแม้มีความหมาย แต่เก็บไว้มีแต่จะทำให้นางคิดถึงเรื่องไม่มีความสุขเหล่านั้น มิสู้ทิ้งไปเสียดีกว่า แต่ก่อนท่าทางนางไร้หัวจิตหัวใจขนาดไหน เขามองก็สบายใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรกำไลนี้ก็นับว่ามีผลงาน หากไม่ใช่เพราะมัน คงยังไม่รู้ว่าถึงตอนไหนนางถึงจะยอมรับเขา
เขาหยิบมันลุกขึ้นมา พูดกับนางว่า “ต่อไปข้าจะสร้างเจดีย์เก็บของวิเศษให้เจ้า เอาของที่ข้าทำให้เจ้าทั้งหมดใส่เข้าไป ทุกชิ้นเขียนเล่าเรื่องที่มา”
มู่จิ่วลงจากตั่ง “จะไม่เปลืองแรงเปล่าหรือ?”
“ไม่เปลืองแรง” เขาพูด จากนั้นค้อมเอวลงมา เอาหน้าเข้ามาใกล้ “เจ้าจูบข้าก็พอแล้ว”
มู่จิ่วหน้าแดง เขย่งปลายเท้าขึ้น เกาะแขนเขาไว้พลางแนบริมฝีปากลงไปบนหน้าเขา
ใบหน้าลู่ยาก็ร้อนไม่ต่างกัน
………………………………………