ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 248 ลูกของใคร?
“ยังพูดไม่ได้หรือ?” ซื่ออินยิ้มพลางเกาคางเขา “วิชาของเจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ ยังเข้าใจว่าเจ้าผ่านด่านเคราะห์แล้วเสียอีก”
“ใกล้แล้ว ช่วงนี้พวกเราต้องจับตาดูเขาไว้”
มู่จิ่วมองเห็นจากใต้ซุ้มจื่อเถิง จึงเดินเข้ามาพลางกล่าว “เขาเชื่องมาก และก็ฉลาดมากด้วย”
ซื่ออินพยักหน้า ยืนขึ้นมา “ฉลาดมากแน่นอน เมื่อคืนตอนข้าเดินผ่านพวกเจ้าก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างมากขุมหนึ่ง จึงเดินเข้าไปหา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเสือขาวตัวหนึ่ง ตอนข้าอยู่โหย่วเจียงเห็นเสือน้อยที่มีปัญญาหลักแหลมแบบนี้น้อยมาก เขามีที่มาอย่างไร? หรือเป็นเซียนเด็กในวังของเซิ่งจุนทั้งสาม?”
มู่จิ่วส่ายหน้า “ข้าเก็บได้เมื่อหนึ่งกว่าปีก่อนในสวรรค์ พูดไปก็ประหลาดนัก เขาไม่มีความทรงจำก่อนหน้าที่จะเข้ามาในสวรรค์เลย” ตอนพูดคำนี้สองตาของนางจับจ้องแน่นิ่งที่เขา อยากดูว่าเขามีปฏิกิริยาพิเศษอะไรหรือไม่
ไหนเลยจะรู้ว่าเขาเพียงตอบ ‘อืม’ หนึ่งคำ แสดงออกถึงความอยากรู้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีอะไรต่อแล้ว
มู่จิ่วไม่หมดหวัง ถามอีกว่า “องค์ชายทราบบ้างหรือไม่ว่ามีลูกบ้านไหนในอาณาจักรท่านหายตัวไป?”
ซื่ออินขมวดคิ้วครุ่นคิด “ไม่มี เพียงแต่พอเจ้าพูดเรื่องนี้ ข้ากลับนึกขึ้นได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นประกาศของทัพทหารสวรรค์แปะอยู่ที่กำแพงเมืองนานมากแล้ว เกรงว่าตอนนี้ก็ยังอยู่”
มู่จิ่วรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
อาฝูก้มหัวมองพื้น ถึงแม้ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตามหาพ่อแม่ แต่เขาก็พอเข้าใจความตั้งใจของมู่จิ่ว ดังนั้นดวงตาสีฟ้าหม่นจึงดูไปแล้วก็มีความกังวลอยู่บ้าง
ซื่ออินอดนั่งยองลงไปลูบหัวเขาไม่ได้
ลู่ยาออกมา มุ่งไปทางห้องมู่จิ่ว ระหว่างทางเจอเสี่ยวซิงยกอ่างน้ำไปเทน้ำพอดี
ตอนเสี่ยวซิงยืดตัวหลีกทางให้ เขามองเข้าไปในอ่างโดยไม่ได้ตั้งใจ และอดหยุดถามไม่ได้ “ทำไมถึงเป็นเลือด?”
เสี่ยวซิงตอบ “เมื่อคืนตอนองค์ชายซื่ออินไม่ได้สติ ทำเตียงอาฝูเปื้อนเลือด นี่เป็นน้ำซักผ้าปูเตียงเจ้าค่ะ”
ลู่ยาค่อยวางใจ
นางกำลังจะก้าวเท้าเดินไป เขาพลันรั้งไว้ “เก็บไว้ให้ข้า”
เสี่ยงซิงนิ่งอึ้ง
เขาชี้อ่างน้ำ
เสี่ยวซิงวางมันลง ก่อนเดินจากไปทั้งใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ลู่ยานั่งยองลงจ้องอ่างนี้ ไม่นานก็มีหมอกขาวหลายสายลอยเข้าจมูกเขา
เห็นเพียงหัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น พลันจ้องอาฝูที่เล่นอยู่กับรุ่ยเจี๋ยห่างออกไป ก่อนนิ่งอึ้ง
“อาฝู!”
ลู่ยาลุกขึ้นกวักมือเรียก อาฝูวิ่งเข้ามาอย่างเชื่องๆ แล้วจึงเลียหลังมือเขา
ไหนเลยจะรู้ว่าลู่ยากลับคว้าอุ้งเท้าอาฝูขึ้นมา ยื่นมือกดลงบนข้อมือเขา จากนั้นเลือดสายหนึ่งเล็กขนาดเท่าปลายปิ่นปักผมก็ไหลออกมา หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ!
“หงิงหงิง!”
อาฝูตกใจรีบถอยหลัง ลู่ยาก็ปล่อยเขาไป ปาดเลือดนั้นนำเข้าใกล้ใต้จมูก
เมื่อคืนรู้เรื่องอดีตมากมายของซื่ออิน แต่ที่จริงก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากพบความประจวบเหมาะเรื่อง ‘ห้าพันปีก่อน’ สำหรับพวกเขาแล้วถึงอยากช่วยก็จนปัญญา มู่จิ่วจึงยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างกับเรื่องนี้ ซื่ออินสละตัวช่วยเหลือ แต่นางกลับไม่มีหนทางตอบแทนอะไรคืนกลับไป นางพูดขอโทษซื่ออินบนโต๊ะอาหาร แต่เขากลับหมกหมุ่นครุ่นคิดเรื่องภรรยา จึงไม่ได้ใส่ใจ
หลังมื้ออาหาร ขณะกำลังเตรียมตัวไปปฏิบัติงาน เสี่ยวซิงพลันรีบร้อนตามมาจากด้านหลัง “ลู่ยาให้เจ้าไปห้องเขา!”
มู่จิ่วมองฟ้า อันที่จริงควรออกจากบ้านแล้ว และนี่ก็เป็นเวลาที่ปกติเขาสอนวิชารุ่ยเจี๋ยและอาฝู เรียกนางตอนนี้หรือ?
แต่นางยังวิ่งกลับเข้าไปหาที่ห้องเขาอย่างว่าง่าย
“อาฝูเป็นสมาชิกในราชวงศ์โหย่วเจียง”
ฝั่งนางเพิ่งยืนได้มั่นคง ลู่ยาก็เอ่ยเข้าประเด็นด้วยประโยคนี้
มู่จิ่วยังไม่ทันได้ย่อยข้อมูลนี้ เขาก็ชี้อ่างเลือดบนโต๊ะแล้วพูดต่อ “เลือดของพวกเขาเหมือนกัน อาฝูมาจากราชวงศ์เสือขาว”
“เลือดเหมือนกัน?” มู่จิ่วหันหน้ามาฟังเขาพูดเรื่องนี้ “เจ้าหมายความว่าหมู่เลือดของเขาเหมือนกัน?”
ลู่ยาก็ไม่เข้าใจว่าหมู่เลือดที่นางพูดถึงหมายความว่าอะไร แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพูดคุยของพวกเขา เขากล่าว “ประเภทเดียวกัน เส้นโลหิตชีพจรเดียวกัน เลือดเนื้อของทั้งสองมีกลิ่นอายไม่เหมือนตระกูลสาขา นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่สัตว์เทพทุกเผ่าพันธุ์ใช้แยกความใกล้ชิด อาฝูกับซื่ออินไม่เพียงมีเลือดเหมือนกัน แต่ยังใกล้ชิดกันมาก ต้องเป็นเชื้อสายเดียวกันแน่”
“แบบนั้นก็ดีนัก!”
มู่จิ่วร้องอย่างดีใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สามารถยืนยันเรื่องเล็กน้อยนี้ได้ก็เป็นผลลัพธ์ครั้งใหญ่! เทียบกับที่ตามหาคนบ้านอาฝูไม่เจอแล้วดีกว่ามาก!
พูดจบนางก็กระโดดข้ามธรณีประตู ตรงไปถึงหน้าลานราวกับลมพัด พูดกับซื่ออินที่ยังนั่งอยู่ในห้องอาหารกับอาฝูว่า “มีข่าวดี! พวกเจ้ารีบตามข้ามา!” พูดจบก็ทนรอไม่ไหว อุ้มอาฝูเดินออกประตูไป
อาฝูหนักขนาดนี้ นางไหนเลยจะอุ้มไหว? เดินไปไม่ถึงสองก้าวเขาก็เคลื่อนจากอกนางไปกองอยู่กับพื้น อาฝูเห็นนางรีบร้อนขนาดนี้ จึงกระโดดไปเองเสีย เพียงก้าวเดียวก็ถึงระเบียงหน้าห้องลู่ยาแล้ว
แต่เดิมซื่ออินคิดจะบอกลา ทว่าได้ยินลู่ยาเรียกหา ย่อมไม่กล้าชักช้า รีบตามหลังมู่จิ่วไป
รอจนลู่ยาพูด พวกเขาทั้งสองก็สบตากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ!
ที่แท้พวกเขาก็เป็นคนบ้านเดียวกัน!
นี่ก็บังเอิญเกินไปแล้ว!
แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่ลู่ยายืนยันเรียบร้อย ไม่มีใครไม่เชื่อ!
ซื่ออินอดกลั้นความตื่นตกใจลงไปอย่างไม่ง่ายนัก ก่อนพูด “มิน่าล่ะ ตอนแรกข้าเห็นเขาถึงรู้สึกว่าใกล้ชิดสนิทสนมมาก แต่เซิ่งจุน พวกเราราชวงศ์ไม่มีเสือน้อยที่หายตัวไป และในพันปีนี้ไม่มีเสือถือกำเนิดใหม่ อาฝูเพิ่งอายุสามร้อยปี นี่คือเรื่องอะไรกัน?”
“ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกหลานของผู้ที่มีชื่อในบันทึกตระกูล ในอาณาจักรโหย่วเจียงล้วนเป็นเสือขาว หากพวกเจ้ามีลูกหลานไปไข่ทิ้งไว้ข้างนอกก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ลู่ยาพูดตรงๆ แต่เรื่องแบบนี้อ้อมค้อมไปก็ไม่มีประโยชน์?
ซื่ออินกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
มู่จิ่วและซ่างก่วนสุ่นที่ตามมาทีหลังกระแอมไอ รู้สึกว่าฝีปากของลู่ยาช่างไม่ไว้หน้าคนเขาบ้างเลย
อีกทั้งในใจพวกเขาก็ไม่อาจรับได้ว่าอาฝูเป็นลูกนอกสมรส ถึงแม้การเกิดเป็นลูกนอกสมรสไม่ใช่ความผิดของเขา แต่สำหรับเขาแล้วฐานะแบบนี้ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ มู่จิ่วทำเหมือนเขาเป็นองค์ชายน้อยเผ่าพันธุ์เสือที่เกิดในชาติตระกูลดีมาตลอด
พูดถึงเรื่องชาติตระกูลดี ถึงแม้อาฝูสูญเสียความทรงจำ แต่ตั้งแต่เขาปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ อากัปกิริยาล้วนถูกหล่อหลอมจากสัญชาตญาณภายใน ถึงแม้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกนานขนาดนั้นก็ไม่มีพฤติกรรมแย่ๆ หากไม่ใช่ว่าเคยอยู่กับคนที่มีพฤติกรรมดีเหมือนกันมาก่อน เขาจะมีกิริยาเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ไม่ว่าพูดอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องดี” รุ่ยเจี๋ยพูดพลางเลิกคิ้วขึ้น “พี่ซื่ออินต้องพาอาฝูกลับไปหรือไม่?”
ริมฝีปากทั้งสองของซื่ออินเม้มลง ไม่ตอบคำ
ในเมื่ออาฝูได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นสายเลือดของราชวงศ์พวกเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นลูกภรรยาหลักหรือภรรยารอง ตามเหตุผลแล้วต้องพาเขากลับไปยืนยัน พลังวิญญาณของราชวงศ์เสือขาวเทียบกับชาวบ้านธรรมดาแล้วไม่รู้ว่าสูงส่งกว่าเท่าไหร่ อีกอย่าง วันนี้เขาไม่มีทั้งคนในครอบครัวและไม่มีความทรงจำ นอกจากพาเขากลับไป ยังจะสามารถทำอย่างไรได้อีก? อย่างน้อยซื่ออินก็ต้องพาอาฝูกลับไปถามญาติพี่น้องเขา
เพียงแต่คิดถึงตรงนี้ สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน!
…………………………………………