ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 249 ถามให้ถึงที่สุด
“เป็นอะไร?” สายตาลู่ยาเหลือบมองใบหน้าเขาแวบหนึ่ง จึงจับสีหน้านี้ได้
ซื่ออินมองอาฝู สีหน้ายิ่งซีดขาวขึ้นเล็กน้อย
อาฝูนั่งอยู่บนพื้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ถึงเบิกตาสีฟ้าหม่นใสซื่อบริสุทธิ์มองเขา
“ห้าร้อยปีก่อน ข้ากับเหลียงจีเคย…เคย…”
“เคยอะไร?” มู่จิ่วงุนงงแล้ว
ซื่ออินพูดปากสั่น “พวกเราเคยร่วมอภิรมย์กันแล้ว!”
เขามองอาฝู ทั้งร่างเริ่มสั่นเทา!
ในห้องมีเสียงสูดลมหายใจเย็นๆ ดังขึ้นทันที!
เขาบอกว่าพันปีนี้ราชวงศ์เสือขาวไม่มีการบันทึกเรื่องเสือขาวน้อยเลย และก่อนเหลียงจีหายตัวไปก็เคยร่วมอภิรมย์กับเขามาก่อน เช่นนั้นอาฝู…
หรือซื่ออินจะเป็นพ่อของอาฝู?!
มู่จิ่วหันไปหาลู่ยาเพื่อหาคำตอบอย่างรวดเร็ว ลู่ยาถาม “เลือดลมของพวกเขาคล้ายกันอย่างมาก แต่หากเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เลือดลมก็เหมือนมากเช่นเดียวกัน ตามหลักเหตุผลแล้วพวกเราคิดได้ว่าอาฝูเป็นลูกของพวกเขา แต่ในสถานการณ์ที่ความทรงจำของอาฝูไม่สมบูรณ์ ตอนนี้จึงยังไม่อาจมั่นใจได้”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งก่อนถาม “แบบนั้นทำไมบางคนถึงจำได้แม้แต่พ่อแม่ในอดีตชาติล่ะ? หลินเจี้ยนหรูก็ตามหาแม่เขาจนพบ!”
“แม้จิตต้นกำเนิดของแม่หลินเจี้ยนหรูไม่สมบูรณ์ แต่ความทรงจำไม่เสียหาย ปีนั้นหลินเซี่ยทำร้ายนางเพราะกลัวว่านางจะไปร้องเรียนที่ปรโลก จิตต้นกำเนิดนางสลายไป ย่อมบอกเหตุผลไม่ได้ และการตามหาที่อยู่ของแม่หลินไม่ต้องอาศัยขั้นตอนที่ซับซ้อน เพียงไปตรวจหาการเวียนว่ายตายเกิดของนางที่ปรโลกก็พอแล้ว”
“อาฝูกลับต่างกับนาง จิตต้นกำเนิดของเขาไม่ถูกทำลาย แต่ความทรงจำเสียหาย ตอนนี้พวกเราต้องตามหาความทรงจำของเขา ไม่ใช่การเวียนว่ายตายเกิด ยิ่งไปกว่านั้นการเวียนว่ายตายเกิดของเผ่าพันธุ์เทพมีฟ้าควบคุม อีกทั้งความทรงจำของเขาเป็นความว่างเปล่า บนบันทึกเวียนว่ายตายเกิดต้องไม่มีบันทึกไว้ ดังนั้นถึงหาวัฏสงสารได้ก็ไม่พบที่มาของเขา”
“แต่นี่ก็เป็นจุดที่ข้าสงสัย แต่เดิมข้าเข้าใจว่าความทรงจำของเขาแค่ขาดหายไปธรรมดาเท่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เสียแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น ความทรงจำของเขาหายไปได้อย่างไร?” ซ่างกวนสุ่นถาม
นี่ก็เป็นคำถามที่มู่จิ่วกระหายรู้
ลู่ยาหยักนิ้วทำท่าสัญลักษณ์ เดินไปสองก้าวก่อนพูด “มีวิชาบางประเภทสามารถทำแบบนี้ได้ แต่วิชาแบบนี้เทียบกับการทำลายจิตต้นกำเนิดแล้วยุ่งยากกว่า นอกจากพลังบำเพ็ญต้องสูงถึงขั้นหนึ่ง สำคัญที่สุดคือยังต้องใช้เลือดหัวใจ และถึงขนาดทำลายความทรงจำของอาฝู ก็แทบต้องใช้เลือดหัวใจมากกว่าหมื่นปีค่อยๆ ถักทอเป็นม่านขาวขึ้นมา จากนั้นผนึกความทรงจำทั้งหมดไว้”
ร้ายแรงขนาดนี้?
มู่จิ่วเงียบ “ใครเคียดแค้นอาฝูขนาดนี้?”
“ไม่จำเป็นต้องเป็นความแค้น” ลู่ยาพูดอีก “เพราะการทำแบบนี้ คนที่ใช้วิชาจะได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เลือดหัวใจเป็นตัวชักนำการเข้าออกของพลังฤทธิ์ เมื่อใช้เลือดหัวใจที่สะสมพลังมากกว่าหมื่นปีไป เกือบจะเทียบเท่ากับการทำลายพลังบำเพ็ญไปหลายหมื่นปี ดังนั้นหากคนนี้มีความแค้นกับอาฝู สังหารเขาไปเลยยังง่ายกว่ามาก”
ทุกคนนิ่งอึ้ง
ไม่ใช่คู่แค้น แบบนั้นเป็นใคร? ใครที่ใช้เลือดหัวใจมากขนาดนั้นเพื่อทำให้อาฝูเป็นแบบนี้?
เขาทำไปเพื่ออะไร?
“ไม่สามารถทำลายวิชานี้ได้หรือ?” มู่จิ่วถาม
“ไม่ว่าวิชาใดย่อมมีทางแก้ แต่ต้องดูเงื่อนไขในการแก้ก่อน” ลู่ยากอดอกกล่าว “วิชาที่ใช้เลือดหัวใจทุกวิชาล้วนเป็นวิชาที่พิเศษมาก และถูกคนใช้วิชาควบคุมความคิด ถึงแม้ข้ามีหนทาง แต่หากดึงดันแก้วิชาโดยที่ยังหาตัวคนใช้ไม่เจอ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพังพินาศทั้งหมด”
มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “แบบนั้นข้าไปสืบหาก่อนว่าอาฝูขึ้นเกี้ยวฉางเอ๋อร์ไปเมื่อไหร่ แล้วค่อยว่ากันเถิด ทำได้เพียงดูก่อนว่าวันนั้นนางไปที่ไหนมาบ้าง จากนั้นพวกเราค่อยสืบหาเบาะแส ดูว่าสามารถหาอะไรเจอบ้างหรือไม่”
ตอนนี้สองเรื่องรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ซื่ออินต้องการตามหาเหลียงจี ส่วนอาฝูอาจเป็นลูกของซื่ออินกับเหลียงจี เหลียงจีหายตัวไปนานขนาดนี้และคลอดอาฝูออกมา หนำซ้ำความทรงจำของอาฝูยังหายไปเมื่อปีก่อน หากตามหาความทรงจำของอาฝูกลับมาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะตามหาเหลียงจีเจอด้วย
นางพูดกับซื่ออิน “ข้าไปแบบนี้เกรงว่าฉางเอ๋อร์จะไม่สนใจข้า มิสู้เจ้ารั้งรออยู่ที่นี่ก่อน”
ซื่ออินพยักหน้า เอ่ยว่าลำบากท่านแล้ว
ในความเป็นจริง ตั้งแต่คิดว่าอาฝูมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกชายของเขากับเหลียงจี เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะจากไปแล้ว หากอาฝูเป็นลูกของเขาที่เหลียงจีให้กำเนิดตอนอยู่ข้างนอก แบบนั้นอาฝูก็เป็นเบาะแสเดียวในการตามหานาง การคลี่คลายความลับของอาฝูทำได้เพียงอาศัยลู่ยา ตอนนี้มีเขาอยู่ที่นี่ ซื่ออินยังต้องไปทำไมอีก?
มู่จิ่วไม่กล้าชักช้า รีบพาอาฝูไปยังหน่วยทันที
ทางที่ดีที่สุดในการไปกราบไหว้ฉางเอ๋อร์คือไปอย่างเป็นทางการจะสะดวกกว่า อันที่จริงฉางเอ๋อร์ก็เป็นเทพพิทักษ์ทิศหนึ่ง จะพบมู่จิ่วที่เป็นคนไร้ตัวตนง่ายๆ หรือ? อีกอย่างประวัติความเป็นมาของอาฝูก็เป็นคดีที่ยังไม่คลี่คลาย ทำให้ทัพทหารสวรรค์ปวดหัวมาตลอด ตามหาคนที่บ้านแทนอาฝูก็เป็นความรับผิดชอบที่พวกเขาอยากทำให้สำเร็จ เรื่องนี้อาศัยชื่อของทัพทหารสวรรค์ไปตามหาหลักฐานจึงเป็นวิธีที่รัดกุมที่สุด
ครั้นมาถึงหน้าบ้านของหลิวจวิ้น แค่เขาเห็นนางก็ปวดหัวมากแล้ว
ทุกครั้งที่นางมาล้วนไม่มีเรื่องดี เขาไม่อยากเห็นหน้านางในหน่วยแล้วจริงๆ
แต่เมื่อมู่จิ่วพูดถึงเหตุผลที่มา เขาก็ตกใจ “องค์ชายอาณาจักรโหย่วเจียงก็ถูกเจ้าเก็บกลับมา?”
“ไม่ผิด เขาอยู่ที่บ้านข้าเจ้าค่ะ” มู่จิ่วตอบ “ตอนนี้สงสัยว่าอาฝูคือลูกของเขากับคู่หมั้น เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงต้องไปขอหลักฐานที่วังเหมันต์จันทราจากเซียนฉางเอ๋อร์”
หลิวจวิ้นขบคิดก่อนถาม “เจ้าวางแผนจะไปอย่างไร?”
มู่จิ่วงุนงง “แน่นอนว่ามาขอคำอนุญาตจากท่านก็จะไปแล้ว!” ยังมีวิธีอื่นด้วยหรือ?
หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง หยิบบันทึกเล่มหนึ่งขึ้นมาจากกองบนโต๊ะ โยนให้นางก่อนเอ่ย “ลงทะเบียนไว้ บันทึกคดีก่อนค่อยไป!”
มู่จิ่วมองบันทึกนี้ มันเป็นสมุดลงทะเบียนทำคดี ตอนนี้จึงเข้าใจความหมายของเขา เขากำลังเมตตาช่วยนาง หากนางคลี่คลายคดีได้ มิใช่เป็นการสะสมบุญกุศลอีกเรื่องหรือ?
แต่ทำไมอยู่ๆ เขาถึงได้ใส่ใจนางเช่นนี้?
แน่นอนว่าแต่ก่อนเขาก็ไม่เลวนัก แต่เรื่องนี้ถึงแม้ไม่บันทึกคดีไว้นางก็จะไปทำอยู่ดี
อีกอย่างตอนแรกเขาเตะอาฝูมาให้นาง มิใช่หมายถึงให้นางรับผิดชอบเขาหรือไร?
นางกลอกตาไปสองรอบ เข้าไปถามใกล้ๆ “หรือใต้เท้ามีเรื่องให้ข้าทำ?”
หลิวจวิ้นทำหน้าตึง “เจ้ามองข้าเป็นคนอย่างไร?!”
มู่จิ่วยิ้มแต่ไม่ตอบ ถึงแม้หลิวจวิ้นจะเป็นชายหยาบกระด้าง ไม่ใช่คนที่มากเล่ห์อะไร แต่ก็ซับซ้อนไม่น้อย อย่าคิดว่านางไม่รู้
หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นางอย่างที่คิดไว้ จากนั้นเหลือบมองไปนอกประตู กดเสียงเอ่ย “เจ้าทำธุระเสร็จแล้ว ช่วยไปที่ศาลเจ้าลั่วเสินสักหน่อย”
ศาลเจ้าลั่วเสินอีกแล้ว?
ใจอยากนินทาของมู่จิ่วถาโถมขึ้นมา “ใต้เท้า หรือท่านสนิทสนมกับลั่วเสินเหนียงเหนียง?”
“ถามมากขนาดนั้นไปทำอะไร?! รีบไปทำงาน!” หลิวจวิ้นพลันกลายเป็นวัวบ้าอีกที ร้องคำรามอยู่เหนือหัวนาง
มู่จิ่วออกนอกประตูไปกับอาฝูรวดเร็วราวกับควัน กลับมาห้องทำงานก็หยิบป้าย จากนั้นมุ่งไปยังวังเหมันต์จันทรา
……………………………………………………