ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 250 สิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ?
ก่อนที่มู่จิ่วจะขึ้นมาบนสวรรค์ ดวงจันทร์ในความทรงจำนั้นเป็นทรงกลม และวังเหมันต์จันทราก็เป็นวังประหลาดหลังหนึ่งที่สร้างอยู่บนดวงจันทร์ ทั้งยังเต็มไปด้วยสิ่งของบิดเบี้ยวและเหลี่ยมมุมประหลาด
แต่ดวงจันทร์กลับไม่เหมือนที่นางจินตนาการไว้ มันเล็กจนแม้แต่ส่วนโค้งยังโค้งมาก อยู่ห่างจากสวรรค์สี่ห้าพันลี้ ถึงแม้ขี่เมฆมาแล้วรู้สึกใกล้ แต่มองจากบนสวรรค์กลับรู้สึกไกล
ในความเป็นจริงตลอดทางรายล้อมไปด้วยเมฆหมอก จึงมองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วมีพื้นที่กว้างใหญ่เท่าไหร่ สรุปคือยังคงนางเข้าซุ้มประตูไปก่อน ซุ้มประตูตั้งตรง ไม่ต่างกับที่นางเห็นจากที่อื่น หลังจากเข้าสู่ประตูก็ข้ามทะเลเมฆไม่รู้ว่ากว้างเท่าไหร่ ถึงได้เห็นกลุ่มวังที่อบอวลไปด้วยไอเซียน
มุมมองทิวทัศน์ของกลุ่มวังเป็นปกติ ต้นกุ้ยฮวาต้นใหญ่หน้าประตูวังเติบโตมานาน แม้รูปร่างงดงามอ่อนช้อย แต่ยังเจริญงอกงามอยู่
วันนี้อู๋กางไม่ได้ตัดต้นกุ้ยฮวา แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ตัดต้นกุ้ยฮวาทุกวัน เขาเป็นนายพลออารักขาวังเหมันต์จันทรา เชี่ยวชาญการใช้ขวานตัดเซียน ตามคำบอกเล่า เขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของฉางเอ๋อร์อย่างมาก ดังนั้นตอนนี้มู่จิ่วจึงรู้สึกว่า ตอนที่ผู้คนจินตนาการไปว่าเขาตัดต้นกุ้ยฮวาทุกวัน ที่จริงไม่แน่ว่าอาจจะตัดพวกที่แอบมายลความงามของฉางเอ๋อร์ก็เป็นได้
แต่ก่อนฉางเอ๋อร์กับต้าอี้เป็นสามีภรรยากัน ภายหลังแอบขโมยกินยาวิเศษของซีหวังหมู่เพื่อเลื่อนขึ้นเป็นเซียน เรื่องนี้ไม่มีใครไม่รู้ ส่วนอู๋กางทำผิดหลังจากนั้น ถูกส่งมาปฏิบัติหน้าที่ที่วังเหมันต์จันทรา เรื่องราวซุบซิบในสวรรค์เกี่ยวกับสองคนนี้ก็มีมากจนนับไม่ไหว แต่มู่จิ่วกลับคิดว่าฉางเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น อันที่จริงนางไม่เคยถูกกักขัง หากอยากหาคู่ครองอีกครั้ง ก็สามารถทำได้ตามใจปรารถนา
แต่วังเหมันต์จันทราที่สงบและเย็นแห่งนี้ กลับไม่ได้มีเพียงนางกับอู๋กางสองคนเท่านั้น ที่นี่ก็เหมือนกับวังเซียนที่อื่น มีเซียนหญิงรับใช้ไม่น้อย อีกทั้งล้วนสวยงามอ่อนโยนนัก
มู่จิ่วพูดถึงสาเหตุการมากับเซียนหญิงรับใช้ที่มารับตรงหน้า เซียนหญิงรับใช้ค่อยพานางเข้าประตูวังไป
มู่จิ่วไม่เคยเห็นอู๋กางมาก่อน บางทีในใจอาจยังแอบซ่อนความอยากรู้ไว้ จึงอยากเห็นชายในคำร่ำลือว่าที่จริงหน้าตาเป็นอย่างไร
เดินมาไกลพอสมควร ผ่านรั้วหยกและแปลงดอกไม้มากมาย สุดท้ายก็มาถึงศาลาริมน้ำวิจิตรงดงาม
ศาลาริมน้ำสร้างอยู่ใจกลางทะเลสาบ ทั้งทะเลสาบถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกหนาบางไม่เท่ากัน ดอกบัวสีม่วงและสะพานหยกขาวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ท่ามกลางเมฆหมอก ในศาลาสลักจากหยกขาว มีคนผู้หนึ่งกำลังเอนพิงรั้วมองผืนน้ำ รูปร่างที่งดงาม มวยผมสูง ทำให้คนที่เห็นเพียงแผ่นหลังก็ตระหนักได้ถึงความงามของนาง
กระต่ายขาวงดงามดุจหิมะตัวหนึ่งหมอบอยู่ข้างกายนาง ตอนเห็นมู่จิ่วมันเงยหน้าขึ้นมา ปีกจมูกขยับฟุดฟิดเล็กน้อย จากนั้นเมื่อเห็นอาฝูข้างเท้ามู่จิ่ว หูของกระต่ายพลันตั้งขึ้นมา ก่อนมันจะลนลานไปอยู่หน้าผู้เป็นนาย!
“โฮก! โฮกกก…”
ไม่รู้อาฝูเห็นมันเป็นเหยื่อหรืออยากแสดงพลัง จึงพลันร้อนรนกระวนกระวาย
มู่จิ่วรีบจับหลังอาฝูไว้ ค้อมเอวทำความเคารพฉางเอ๋อร์ “พลลาดตระเวนกัวมู่จิ่ว เข้าพบเซียนฉางเอ๋อร์”
เซียนหญิงที่เอนตัวอยู่หันมา ใบหน้าที่เหมือนรวมความงามเพริศพริ้งทั้งหมดบนโลกไว้ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งศาลาสลักหยกขาวนี้ ดอกบัวม่วงที่ลอยบนผิวน้ำ ทั้งหมดล้วนหมดสีสันไปเมื่ออยู่ต่อหน้าใบหน้านี้ ทำให้คนเห็นแค่เพียงนางเท่านั้น ทั้งฟ้าดินก็เห็นเพียงนางเท่านั้น!
มู่จิ่วคิดว่าวันนี้ถึงแม้ทำอะไรไม่สำเร็จก็เต็มอิ่มกับอาหารตาแล้ว กำลังคิดว่าจะมองสำรวจนางโดยไม่ให้เสียมารยาท แต่เมื่อเห็นดอกโบตั๋นสองดอกบนศีรษะนาง มู่จิ่วก็พลันตกตะลึง!
ดอกโบตั๋นนี้คุ้นตาเกินไปแล้ว ประดับไว้เหมือนกับเซียนหญิงที่เห็นวันนั้นตอนสะกดรอยอวี้ตี้ในโลกมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยน!
มู่จิ่วพลันรู้สึกเย็นยะเยือก นึกถึงรูปร่างเย้ายวนของนางที่เห็นเมื่อครู่ ในสมองส่งเสียงหึ่งหึ่งออกมาทันใด! รูปร่างแบบนี้ไม่น่าเป็นใครอื่นได้อีก คนอื่นก็ไม่คู่ควรให้อวี้ตี้ลดตัวลงมา เลี่ยงไปนัดพบที่โลกมนุษย์และเสี่ยงถูกหวังหมู่เจอเข้า
มิน่าหวังหมู่ถึงต้องส่งคนไปจับตาดูอวี้ตี้ ที่แท้คนที่อวี้ตี้ต้องตาคือฉางเอ๋อร์ผู้เย็นชาสูงส่ง!
ที่แท้เซียนหญิงที่ทำให้อวี้ตี้แอบไปลอบพบที่โลกมนุษย์ก็คือฉางเอ๋อร์!
ตอนนี้นางรู้แจ้งแล้ว พริบตาเดียวก็เข้าใจความคิดของหวังหมู่
ฉางเอ๋อร์เป็นตัวแทนของความงามในหกภพนี้ หวังหมู่คร้านจะใส่ใจอวี้ตี้ที่มีภรรยารองหลายคน แต่หากเขาต้องตาฉางเอ๋อร์ นี่ก็ทำให้หวังหมู่ที่มีอำนาจในมืออิจฉาตาร้อนได้!
“แม่นางกัว ท่านเซียนถามท่านอยู่”
ฟากนางกำลังตกตะลึง เซียนหญิงรับใช้ด้านข้างก็อดขัดจังหวะนางไม่ได้
มู่จิ่วรีบกล่าว “ขออภัย เสียมารยาทแล้ว รูปร่างหน้าตาของท่านเซียนงามเหนือฟ้าดินจริงๆ ถึงแม้ข้าเป็นหญิง ยังรู้สึกละอายตนเองโดยแท้”
ตอนนี้ไม่อาจสนใจเรื่องฉันชู้สาวของฉางเอ๋อร์ได้ มู่จิ่วควรทำเรื่องที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จก่อน
ฉางเอ๋อร์กลับพูดด้วยง่ายมาก บางทีนางอาจจะเจอคนเซ่อซ่าแบบนี้จนชิน ดังนั้นจึงพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ได้ยินว่าเจ้ามีธุระถึงได้มา ไม่รู้มีเรื่องอะไรที่สามารถช่วยเจ้าได้บ้าง”
เสียงของนางเหมือนไข่มุกตกลงบนถาดหยก อ่อนโยนอย่างมาก ไพเราะยิ่งนัก
มู่จิ่วรีบนำอาฝูเข้าไปใกล้ ก่อนถาม “ไม่รู้ท่านเซียนจำเขาได้หรือไม่?”
ฉางเอ๋อร์มองอาฝู คิ้วขมวดเล็กน้อย แล้วพลันถามกลับ “หรือนี่จะเป็นเสือขาวที่ขึ้นเกี้ยวหยกเข้าสวรรค์มาพร้อมข้า?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” มู่จิ่วพยักหน้า “ตอนนี้เขาชื่ออาฝู ข้ากำลังตามหาคนในครอบครัวเขาอยู่ ตอนนี้เจอเบาะแสเข้าพอดี จึงตั้งใจมาถามท่านเซียนโดยเฉพาะ วันนั้นก่อนท่านเซียนมาสวรรค์ ไม่ทราบว่าไปที่ไหนมา? รบกวนท่านเซียนบอกกล่าว พวกเราก็จะได้เบาะแสไปสืบค้น”
สีหน้าของฉางเอ๋อร์บึ้งตึงเล็กน้อย เนิ่นนานกว่าจะตอบ “ข้าไม่ได้ไปที่อื่น วันนั้นองค์หญิงสามเชิญข้าเป็นแขก ออกจากวังเหมันต์จันทรา ข้าก็ตรงไปสวรรค์เลย”
มู่จิ่วขมวดคิ้ว “แบบนั้นก็ประหลาดแล้ว ตลอดทางจากวังเหมันต์จันทราถึงสวรรค์เป็นทะเลเมฆ ในเมื่อไม่มีทิวเขาเซียนและไม่มีที่พำนักเซียน อาฝูก็ไม่มีทางขึ้นสวรรค์มาคนเดียวได้ แม้แต่ที่หยุดพักก็ยังไม่มี เขาจะปีนขึ้นมาบนเกี้ยวหยกได้อย่างไร?”
ลมหายใจของฉางเอ๋อร์ไม่มั่นคงเล็กน้อย นางประสานมือมองพื้นสักครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับนาง “ข้าก็ไม่รู้ บางทีเจ้าควรรอให้เขาเปิดปากพูดก่อนค่อยถามเขาจะดีกว่า”
มู่จิ่วรู้สึกว่านางกำลังโกหก และเดาว่าเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉางเอ๋อร์โกหกต้องเกี่ยวข้องกับอวี้ตี้!
นางสำรวมท่าที ถามอีกว่า “ไม่รู้วันนั้นเซียนหญิงรับใช้คนไหนติดตามท่านเซียนออกจากสวรรค์? ข้าพานางกลับทัพทหารสวรรค์ไปเป็นพยานได้หรือไม่?”
ฉางเอ๋อร์ยืนขึ้นมา “หรือเจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้า?”
อกของนางกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย สีหน้าก็แดงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ริมฝีปากเม้มแน่นเหมือนสาวน้อยที่กำลังโกรธมาก
ทำให้มู่จิ่วประหลาดใจอยู่บ้าง นางคิดไม่ถึงว่าฉางเอ๋อร์ที่ปีนั้นทอดทิ้งสามีขึ้นมาเป็นเซียนคนเดียวจะเป็นเด็กสาวที่ไม่รู้จักข่มอารมณ์เช่นนี้ ฉางเอ๋อร์ไม่เพียงไม่รู้จักเอ่ยคำร้ายกาจกับการซักถามของมู่จิ่ว แม้แต่ปฏิเสธก็พูดได้ไร้อำนาจ ไหนเลยจะเป็นหญิงใจทรามที่เจนจัด ชัดเจนว่าเป็นสาวน้อยที่ขาดประสบการณ์!
หญิงสาวแบบนี้ เป็นเซียนหญิงที่ดึงความสนใจของอวี้ตี้ไว้ได้จริงหรือ?
…………………………………………