ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 260 เคราะห์กรรมกลับชาติเกิดใหม่
“เวลาแบบนี้เพียงพอให้เขาใช้ฝึกบำเพ็ญเป็นเซียน หากเขามีความมุมานะ ข้าย่อมไม่ทำให้เขาลำบาก เพียงแค่ไม่ผิดกฎ ให้เขาเป็นเซียนก็ไม่ใช่ปัญหา พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยมีอะไรไม่ดีกัน? นี่กลับเลือกเป็นคนคลั่งรักเฝ้าอยู่ทางช้างเผือก ให้คนในโลกมนุษย์ครหาใช้คุณธรรมกดดันข้า”
“คนผู้หนึ่งไม่ยอมละทิ้งสิ่งของที่ตนต้องใจ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยินยอมทุ่มเทเพื่อมัน”
“ในใต้หล้าไหนเลยจะมีความรักที่ไม่ต้องลงแรงก็ได้มา? พวกเขาเข้าใจว่าแค่ก้าวข้ามข้อห้ามแล้วอยู่ด้วยกันก็ชนะแล้ว กลับไม่รู้ว่าข้อห้ามนี้ไม่ใช่ข้าหวังหมู่กำหนดขึ้น แต่เป็นหกภพร่วมกันกำหนดขึ้นมาในตอนแรก ข้าเพียงทำเพื่อปกป้องกฎแห่งเซียนเท่านั้น ไม่อาจไม่เตือนได้ และพวกเขากลับรอการบำเพ็ญเพียรเพียงไม่กี่พันปีไม่ได้”
“แต่ที่สำคัญที่สุดคือ มนุษย์ชายที่เหล่าเซียนต้องตาเหล่านั้น มีคนไหนบ้างที่เคยลำบากเพื่อพวกนาง?
“พวกนางโง่เขลา ข้าย่อมไม่รังเกียจให้พวกนางเรียนรู้ให้เข้าใจเสียหน่อย”
นางหยุดอยู่ที่ฉากกั้นลม สายตายังคงเย็นชา แต่บนหน้ากลับไม่มีความโกรธเคืองเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
มู่จิ่วไม่รู้ว่าทำไมนางพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา แต่คำพูดกลับมีเหตุผลของนางอยู่ เรื่องเหล่านั้นที่ได้ฟังตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเซียนหญิงถูกตาต้องใจมนุษย์ผู้ชาย ท้ายที่สุดยังคงเป็นฝ่ายหญิงเสียมากที่ได้รับโทษเพราะผิดกฎข้อห้าม สุดท้ายก็มีไม่มากนักที่จุดจบมีความสุข ก็ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร?
ระหว่างกำลังครุ่นคิด สายตาหวังหมู่เย็นชา จากนั้นพูดต่อ “ฉางเอ๋อร์เป็นความโง่อีกแบบ! ข้าเกรงว่านางคงเข้าใจว่าใกล้ชิดฝ่าบาท แล้วฝ่าบาทจะสามารถปกป้องนางได้! ไม่คิดให้ดีว่าอำนาจในวังหลังอยู่ในมือใคร!”
มู่จิ่วก็ไม่ชอบมือที่สามซึ่งแย่งคู่ครองของผู้อื่น แต่ตอนที่หวังหมู่ตำหนิฉางเอ๋อร์แบบนี้ ในใจนางลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเจอฉางเอ๋อร์ มู่จิ่วก็ไม่ได้มีความประทับใจที่ดีอะไรต่อนาง แต่หลังจากพบนางแล้ว นางก็รู้สึกว่าบางทีฉางเอ๋อร์อาจจะไม่ได้น่าสมเพชอย่างที่คนเขาคิดกัน
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูด “เหนียงเหนียงอย่าเพิ่งโกรธ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ยังต้องสืบก่อนค่อยว่ากัน”
“ยังต้องสืบอะไรอีก? เจ้าเห็นกับตาตัวเองไม่ใช่หรือว่าเครื่องประดับผมนั่นเหมือนกัน?” หวังหมู่เหลือบมองนางพลางพูดเรียบๆ
“ถึงพูดแบบนี้ อย่างไรก็ไม่แน่ว่าพบกันเพื่อเรื่องพรรณนั้น” มู่จิ่วพยายามอธิบาย “ท่านคิดดู เมื่อครู่ท่านบอกว่าฉางเอ๋อร์เข้ามาในวังยามค่ำคืนอย่างรีบร้อน หากนางมาหาฝ่าบาทเพราะมีเรื่องด่วนล่ะ? อย่างไรนางก็เป็นเซียนหญิงชั้นสูง ในฐานะเจ้าวัง มีธุระมาหาก็เป็นเรื่องปกติ”
“นางเพียงอยู่ในวังเหมันต์จันทราทั้งวันไม่ทำงานอะไร จะมีเรื่องด่วนใดได้?” หวังหมู่ไม่พอใจ ขมวดคิ้ว
มู่จิ่วไม่รู้ว่าจะพูดกับนางอย่างไรดี จึงเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดอย่างตะกุกตะกัก “อันที่จริง ข้าคิดว่าฉางเอ๋อร์อาจยังมีเรื่องอื่นอยู่เล็กน้อย”
“เรื่องอะไร?” หวังหมู่ถาม
มู่จิ่วตอบ “ท่านต้องรับปากข้าก่อนว่าจะไม่บอกผู้อื่น”
“พูดมากเสียจริง!” หวังหมู่ตำหนินาง ชะงักไปสักครู่ สุดท้ายก็เอ่ย “ข้ารับปาก พูดมา!”
มู่จิ่วรีบรับคำก่อนพูด “หลายวันก่อนตอนกำลังสืบหาที่มาของอาฝู ข้าพบว่าวันที่นางพาอาฝูเข้าสวรรค์มา นางไปภูเขาจิตอสุนีบาตกับอู๋กาง แต่นางยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้ไปที่นั่น นางบอกว่าไม่ได้ไปที่ไหนเลย ตอนนั้นข้ายังเข้าใจว่านางปกปิดเรื่องที่พบอวี้ตี้มา ภายหลังถึงค่อยพบว่าไม่ใช่เลย”
หวังหมู่ก็นิ่งอึ้งไป “ภูเขาจิตอสุนีบบาต?”
“พูดให้ชัดคือภูเขาเรือด้านข้างเขาจิตอสุนีบาต เป็นและภูเขาเรือที่ฝังร่างของต้าอี้ไว้” มู่จิ่วบอกนาง
ที่จริงนางพูดเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อช่วยฉางเอ๋อร์ แต่ตั้งแต่พบเสื้อผ้าปิ่นทองที่เหลียงจีฝังไว้ นางยิ่งรู้สึกว่าภูเขาลูกนั้นไม่ปกติ
ทำไมเหลียงจีจงใจเลือกภูเขาเรือที่พวกฉางเอ๋อร์หยุดแวะอยู่ล่ะ?
เพราะบนเขานั้นมีบางอย่างประหลาด ทำให้พวกนางไปเหมือนกัน หรือเพราะบังเอิญเท่านั้น?
วันที่อาฝูขึ้นเกี้ยวมาต้องเป็นวันที่เหลียงจีไปถึงภูเขาเรือวันนั้นแน่…เหลียงจีต้องเลือกส่งเขาจากไปตอนที่เขาสติแจ่มชัดหรือใกล้จะตื่นเต็มที่ เพราะนางที่เป็นแม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขาแน่…แบบนั้นเหลียงจีรู้มานานแล้วหรือไม่ว่าฉางเอ๋อร์จะไปที่นั่น จุดนี้ก็ไม่อาจรู้ได้
“ภูเขาเรือ?” หวังหมู่ฟังจบก็ขมวดคิ้ว “นางไปจริงสินะ…”
มู่จิ่วพูดทันที “เหนียงเหนียงคาดเดาไว้ก่อนแล้วหรือว่านางจะไป?”
หวังหมู่กวาดตามองนาง กลับไปนั่งที่เดิมก่อนพูด “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินคนบอกว่าเหมือนเห็นนางออกมาจากภูเขาเรือ
มู่จิ่วพยักหน้า “แบบนั้นก็ใช่แล้ว อันที่จริงเรื่องนี้เริ่มมาจากที่ข้าสืบเรื่องเสือขาว” พูดจบนางก็เล่าเรื่องซื่ออินให้หวังหมู่ฟัง จากนั้นจึงกล่าว “ข้าบังเอิญสืบเจอเรื่องฉางเอ๋อร์ไปภูเขาเรือที่ฝังกระดูกของต้าอี้ไว้ และต้าอี้ตายไปแล้วหลายหมื่นปี ถึงตอนนี้ฉางเอ๋อร์ยังไปเยี่ยมเยือนภูเขาเรือ ต้าอี้ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่”
หวังหมู่เงียบอยู่ครู่ ก่อนพูด “ความหมายของเจ้าคือ ในใจของฉางเอ๋อร์ยังคงคิดถึงต้าอี้?”
“มิใช่ว่าไม่มีความเป็นไปได้นี้” มู่จิ่วพูดอย่างเป็นกลาง
หวังหมู่ขบคิด แล้วยืนขึ้นมาพูด “เจ้าตามข้ามา”
พูดจบนางจับข้อมือมู่จิ่วทันที ก่อนหายตัวไปจากห้องนั้นทันที
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาถึงวังหยกฟ้าด้านในสวรรค์
วังหยกฟ้าเป็นสถานที่ที่หวังหมู่จัดการงานราชการต่างๆ หลังจากมาถึงแล้ว นางมุ่งตรงเข้าไปตำหนักทางซ้าย
ประตูตำหนักมีเขตพลังอยู่ หวังหมู่ยื่นมือไปเปิด ด้านในห้องที่เมื่อครู่เป็นกำแพงสีขาวพลันเผยให้เห็นทิวทัศน์ด้านใน เห็นเพียงรอบด้านเป็นชั้นวางหนังสือ วางม้วนคัมภีร์สูงๆ ต่ำๆ ไว้ไม่น้อย บนคานและทิศทั้งสี่รวมทั้งหมดห้าด้านมีวิญญาณเทพเฝ้าอยู่ นิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย บนชั้นหยกใต้หน้าต่างมีเพียงภาชนะสำริด ด้านบนนั้นมีกระจกฟ้าดินวางอยู่ คงเป็นคู่กันกับกระจกฟ้าดินบานนั้นของทัพทหารสวรรค์
นอกจากนี้ ทิศใต้ภายในตำหนักยังวางกระถางวัวขนดำใบใหญ่ที่ทำจากสำริดไว้ บนกระถางวางบันทึกโบราณหนาขนาดสองชุ่นหนึ่งเล่ม ด้านล่างมีกลิ่นอายของมีค่าส่องสว่างออกมาจางๆ ทิ่มแทงสายตามาก คิดแล้วต้องเป็นบันทึกโบราณล้ำค่าประเภทเดียวกับ ‘บันทึกพลังฟ้าดิน’
หวังหมู่หยิบบันทึกขึ้นมาจากชั้นก่อนพลิกดู จากนั้นหยุดสายตาอยู่ที่หน้ากระดาษแผ่นหนึ่ง “ภูเขาเรือเหมือนจะมีปัญหาอยู่”
“พบเจออะไรหรือเจ้าคะ?” มู่จิ่วได้ยินก็รีบเดินขึ้นไปข้างหน้า “มีปัญหาอะไรหรือ?”
หวังหมู่ส่งบันทึกให้นาง “พูดอย่างชัดเจนคือการเวียนว่ายตายเกิดของต้าอี้มีปัญหา”
มู่จิ่วพลิกดูส่วนที่นางชี้ ด้านบนนั้นกลับไม่ได้เขียนอักษร เพียงวาดผังดวงชะตาไว้ และผังดวงชะตานี้ราวกับยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้
นางพูด “ไม่รู้ว่าตอนนี้จิตต้นกำเนิดของต้าอี้อยู่ที่ไหนแล้ว?”
หวังหมู่เอ่ย “เดิมทีเขาสามารถกลายเป็นเซียนได้ แต่ภายหลังให้ฉางเอ๋อร์กินยาวิเศษจนหมด เขาจึงทำได้เพียงไปเวียนว่ายตายเกิด ได้รับการเซ่นไหว้บ้างในโลก เวลานี้ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่คุณงามความดีเขามีมาก ถึงแม้จะลงไปในโลกมนุษย์ ทุกชาติภพก็ย่อมเกิดเป็นคนที่โดดเด่นแน่นอน ทว่าผังดวงชะตากลับแสดงว่าช่วงนี้เขากำลังมีเคราะห์”
……………………………