ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 52
หลินเจี้ยนหรูไม่ใส่ใจอะไร ยังคงยิ้มมองนาง “เช่นนั้นเจ้าไปไหม?”
มู่จิ่วไม่ได้ตอบรับและปฏิเสธ พอเขาถามมาอย่างรบเร้านางจึงตอบ “ข้าไปถามหัวหน้าหลิวก่อนค่อยว่ากัน”
มู่จิ่วไปยื่นเรื่องลาพักกับหลิวจวิ้น
หลิวจวิ้นรับรองใบยื่นลาพักไปพลาง เหล่มองนางไปพลาง “ไปทำอะไร?”
“ไปเดินเล่นโลกมนุษย์!” นางตอบไปตามตรง
หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง นิ่งไปครู่หนึ่ง พลันพูดขึ้นมาอีก “เจ้าไปโลกมนุษย์รึ?”
“อืม หากท่านยินยอม” มู่จิ่วมองเขา
ตอนนี้หลิวจวิ้นที่แต่ไหนแต่ไรทำอะไรรวดเร็วรุนแรงขมวดคิ้ว และระหว่างคิ้วยังซ่อนอะไรบางอย่างไว้เบื้องหลัง
มู่จิ่วประเมินเขาอย่างใคร่รู้ เห็นเพียงเขาพลันเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ถ้าเจ้าไปโลกมนุษย์ ช่วยข้าจัดการธุระสักหน่อย”
มู่จิ่วรู้สึกเหนือความคาดหมาย แต่เดิมนางเพียงมาลองเสี่ยงดวงดู เมื่อเป็นเช่นนี้ มิใช่ว่านางต้องไปโลกมนุษย์จริงๆ แล้วหรือ?
นางจึงพูดขึ้น “ไม่ทราบว่าใต้เท้าต้องการให้ข้าทำอะไร?”
“เจ้าช่วยไปเผาอะไรบางอย่างที่ศาลเจ้าลั่วเสินให้เขา จากนั้นก็เพิ่มน้ำมันหอมสักหลายร้อยชั่ง” สายตาทั้งสองของเขายังคงมองพื้น น้ำเสียงถึงแม้จะสงบราบเรียบ แต่สีหน้ากลับจริงจัง เขาหยิบเอากล่องหยกใส่เหรียญออกมาจากลิ้นชัก “ในนี้เพียงพอที่จะซื้อสักห้าร้อยชั่ง ลงชื่อให้ลงชื่อป่ายเหอ ป่ายจากคำว่าซ่งป่าย เหอจากคำว่าหวงเหอ”
น้ำมันหอมห้าร้อยชั่ง? ดูไม่ออกเลยว่าเขาจะใจกว้างเหมือนกัน!
แต่ ‘กระดาษ’ ที่จะให้เผาก็เป็นกระดาษจริงๆ หลิวจวิ้นสะบัดพู่กันเขียนอะไรหลายประโยคบนกระดาษ จากนั้นก็ปิดผนึกซอง ลงตราประทับเซียนส่งให้นาง “อย่าทำหาย และก็อย่าเปิด นำไปเผาต่อหน้าแท่นบูชาก็พอแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าเขายังมีเรื่องร้องขอลั่วเสิน ยังมี ‘ป่ายเหอ’ นี่อีก ช่างน่าสนใจเสียจริง!
มู่จิ่วนำของมาดูก่อนเก็บไป “ข้าน้อยจะทำแทนหัวหน้าให้สำเร็จ”
หลิวจวิ้นเงยหน้าขึ้นมองนาง “เรื่องนี้เจ้ารู้ด้วยตัวเองก็ดีแล้ว”
มู่จิ่วยืนตรงตอบรับ “ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
นางช่างโชคดีเสียจริง ยากนักที่เขาจะวางใจให้นางทำธุระ!
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มู่เสี่ยวซิงกับอาฝูกังวลนู่นกังวลนี่ มู่จิ่วจึงไม่ได้บอกพวกเขาว่าจะไปโลกมนุษย์ บอกเพียงแค่ว่าไปทำธุระกับหลินเจี้ยนหรูหน่อย ยังไงหลิวจวิ้นรู้ว่านางไปไหน ไม่ต้องกลัวว่านางจะกลับมาไม่ได้ และทางจากสวรรค์ไปโลกมนุษย์เป็นเส้นทางสายหลักเปิดกว้าง พวกเขาก็ไปอย่างเปิดเผย ไม่น่ามีความเสี่ยงอะไร
แน่นอนว่าอย่างไรก็ไปเดินเล่น นางจึงรวบผมอย่างง่ายๆ พร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นกระโปรงสีเขียวอ่อนที่ใส่ไม่บ่อยนัก
โต๊ะเครื่องแป้งวางอยู่ข้างนอก ตอนทำผมลู่ยาก็เห็นเข้า เขาพิงหัวเตียงมองนางก่อนถาม “เจ้าจะไปไหน?”
มู่จิ่วมองเขาผ่านกระจก “ไปเดินเล่นเดี๋ยวก็กลับ”
ลู่ยาไม่โง่ วันนี้นางไม่ไปทำงาน ซ้ำยังแต่งตัวเหมือนกับนกยูงรำแพน ไม่แน่ว่าอาจจะออกไปเล่นไร้สาระกับคนแซ่หลิน
ไม่อยากจะสนใจนางแล้ว
นางเลือกคนแบบนี้มาเป็นคู่ครอง อันที่จริงก็ไม่คู่ควรจะมาคุยเล่นกับเขาแล้ว
แต่สายตานั้นกลับไม่หยุดมองไปยังใบหน้าของนาง มองครานี้ไม่รู้ทำไมน้ำกรดในท้องกลับตีขึ้นมากะทันหัน
…ดูสิ ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก รู้อยู่ชัดๆ ว่าตัวเองหน้าตาจิ้มลิ้ม ดังนั้นจึงตั้งใจแต่งหน้าบางๆ ทำให้ดูใสซื่อบริสุทธิ์ รู้อยู่ชัดๆ ว่าผมตัวเองดกดำเงางามเลยจงใจไม่ปักปิ่น รู้ดีว่าตัวเองผิวขาว ยังจงใจใส่เสื้อสีเขียวขับเน้นให้ยิ่งดูขาวขึ้นไปอีก…สีขาวเข้าคู่กับสีเขียว ทำไมนางไม่เปลี่ยนเป็นต้นหอมไปเสียเลยล่ะ?
ช่างเป็นผู้หญิงจอมวางแผนจริงๆ
เขาเหลือบมองนางเสร็จก็อ่านหนังสือต่อ
ไม่นานนางก็ลุกขึ้น เก็บของใส่กำไลข้อมือก่อนออกจากห้องไป
ลู่ยาเหลือบมองนางก่อนละสายตากลับมา
จะว่าไปแล้ว นางเข้าหาเขาก่อนเช่นนี้ดีแล้วหรือ?
หากคนแซ่หลินเป็นคนโง่เอาแต่ได้ที่รังแกนาง ถึงตอนนั้นนางร้องไห้กลับมาก็ไม่สบายใจไม่ใช่หรือ? พฤติกรรมเช่นนั้นของลัทธิฉ่านไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ พ่อของคนแซ่หลินนั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไร ยังแอบไปมีอะไรข้างนอกแล้วให้กำเนิดเขาที่เป็นบุตรนอกสมรส หากลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น….
ถึงตอนนั้นเขาคงแบกรับไม่ไหว
ดังนั้นกันไว้ก่อนดีกว่าแก้ เขาควรจะระวังเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเอาไว้ เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้อยู่ในบ้านนี้อย่างสบายใจ
คิดถึงตรงนี้เขาก็วางหนังสือลง สวมรองเท้ามุ่งไปยังประตู
เดินมาถึงม่านก็หยุดลง …เขาเป็นเทพเซียนระดับสูง ตามสะกดรอยดูคนอื่นจู๋จี๋กันดูเหมือนจะไม่ดีนัก…
“อาฝู กินข้าว”
ตอนนี้เองที่มู่เสี่ยวซิงนำเอาเนื้อจานใหญ่เข้ามา อาฝูอยู่ในรังได้ยินก็รีบหมุนตัวเดินออกไปอย่างดีใจ
ลู่ยาคิดขึ้นได้ ดวงตาทั้งคู่ฉับพลันส่องประกาย
อาฝูกินอาหารเช้าไป ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีเท้าอีกคู่เบื้องหน้า
เงยหน้าขึ้นดูเห็นเป็นลู่ยานั่งยองๆอยู่ข้างหน้า ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ มองเขาอย่างสนิทสนมและเป็นมิตร
นี่ทำให้อาฝูตกใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนี้ซ่อนใบมีดนับสิบไว้
เช้าขนาดนี้ ลู่ยาจ้องเขาทำไมนะ?
อาฝูมองดูเนื้อในจาน หรือว่าอิจฉาเขาที่ได้กินอาหารเช้าคนแรก?
คิดแล้วก็ยื่นอุ้งเท้าผลักจานเนื้อไปทางลู่ยา เป็นคนบ้านเดียวกัน เขาไม่ถือสาหากจะแบ่งให้กิน
ลู่ยาสูดลมหายใจเข้าลึก ข่มกลั้นใจพลางตบศีรษะอาฝูเบาๆ มองดูมู่จิ่วที่กำลังทำธุระกับมู่เสี่ยวซิง ใช้เสียงเบาคุยกับเขา “เห็นไหม? นางจะออกไปข้างนอก วันนี้เจ้าเพียงแค่ติดตามนางไม่ห่างแม้แต่หนึ่งชุ่นจนนางกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าจะตบรางวัลให้เจ้ากินตับมังกรไขกระดูกหงส์สิบชั่ง”
พูดแล้วเขาก็แบมือออกมา กลางฝ่ามือพลันมีตับมังกรไขกระดูกหงส์หนึ่งจานใหญ่ลอยอยู่
อาฝูพลันเบิกตาทั้งสองข้าง ตับมังกรไขกระดูกหงส์เป็นอาหารเพิ่มพลังชั้นดี! ที่สำคัญเขาได้กลิ่นหอมของมันแล้ว…
อาฝูรีบถูอุ้งเท้ากับขาเขา จากนั้นวิ่งตามมู่จิ่วออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด อุ้งเท้าทั้งสี่กอดขาซ้ายของนางไว้แน่น ถึงตายก็ไม่ยอมปล่อย
มู่จิ่วกำลังจะไป ไหนเลยจะรู้ว่าจะโดนอาฝูเกาะติด ลองแกะออกก็ไม่ได้ รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
ลู่ยาเดินช้าๆ เข้ามาพูด “เด็กคนนี้ขึ้นสวรรค์มาก็ถูกเจ้ากักขังไว้ที่ค่ายทหาร อยากจะติดตามไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง ถ้าเจ้าไม่รับปากมันก็ไร้ความเป็นมนุษย์ไปแล้ว”
พูดจบเขาก็แลกสายตากับอาฝูทีหนึ่ง อาฝูร้องหงิงๆ ทำทีเป็นน่าสงสาร
ถึงแม้ไม่ได้เป็นเพราะตับมังกรไขกระดูกหงส์ เขาก็ยินดีที่จะติดตามมู่จิ่ว
มู่จิ่วไร้คำพูดแล้ว “เขาสะดุดตานัก จะพาไปอย่างไร? คนเห็นเข้าคงจะล้อมวงข้า!”
หญิงสาวคนหนึ่งพาเสือขาวไป ไม่ทำคนเขากลัวตายหรือ? อีกอย่างที่นางไปนั้นเป็นโลกมนุษย์ มนุษย์เหล่านั้นไหนเลยจะเคยเจอเสือ? พาเขาไปนางไม่ต้องคิดจะเดินแล้ว เหมือนพาเขาไปฝึกวิ่งหนีเอาชีวิตรอดมากกว่า
“นี่ไม่ง่ายนัก” ลู่ยายื่นมือไปลูบศีรษะอาฝู ทันใดนั้นเสือน้อยก็กลายเป็นแผ่นแป้งเสือ…เป็นแผ่นแป้งเสือจริงๆ ขนาดประมาณเหรียญทองแดงบางๆ ด้านหน้ามีรูปเสือตัวน้อยอยู่ อาฝูร้องคำราม แผ่นแป้งแห้งนั้นก็งอตัวขึ้นมา “เจ้าพามันไปแบบนี้ ก็จะไม่มีคนสนใจเจ้าแล้ว”
มู่จิ่วหยิบเอาอาฝูที่เปลี่ยนเป็นแผ่นแป้งเล็กๆ มาดูก็ไร้คำพูด
แต่ถ้าเขาไม่มีความเห็นอะไร นางก็ไม่มีความเห็นเหมือนกัน
ไปก็ไป!
นางถลึงตาใส่ลู่ยาทีหนึ่ง เอาอาฝูใส่กระเป๋าเล็ก ก่อนจะออกประตูไปไม่หันกลับมามอง