ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 62
นางจำได้ว่าหลินเจี้ยนหรูเคยพูดถึงมาก่อน หากคิดจะมีที่อยู่ส่วนตัว ขอเพียงเลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อยก็ได้แล้ว!
และนายร้อยเป็นตำแหน่งที่ต่ำที่สุดในทัพทหาร นางต้องคิดหาหนทางสร้างผลงาน การเลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อยไม่นานก็คงสำเร็จ!
เพียงแค่เป็นนายร้อยก็จะมีที่อยู่ส่วนตัวของตัวเองได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะผิดกฎหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงว่านางเก็บลู่ยาไว้หนึ่งคนเลย หากมีที่อยู่ส่วนตัวได้ จะเก็บลู่ยาไว้สักสิบคนก็ไม่เป็นปัญหา!
พูดอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ไม่ใช่เพื่อลู่ยา เพียงแค่คนพฤติกรรมแบบอวี๋เสี่ยวเหลียน นางก็ไม่อยากอยู่ร่วมด้วยอีกต่อไปแล้ว!
นางจะดิ้นรนเพื่อประโยชน์สุขของตนเอง!
“ใต้เท้า!” คิดถึงตรงนี้นางก็เด้งตัวขึ้นมา “ข้าอยากเลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อย!”
“เจ้าอยากเลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อย?” หลิวจวิ้นหรี่ตามองนาง “จะเลื่อนตำแหน่งอย่างไร?”
“ข้าทำคดีได้ ข้าสามารถสร้างผลงานได้!” มู่จิ่วพูดอย่างกระตือรือร้น “หากข้าคลี่คลายคดีฆาตกรรมในแดนเซียนได้ ใต้เท้าเลื่อนตำแหน่งข้าให้เป็นนายร้อยได้หรือไม่?”
“คดีฆาตกรรม? พูดง่ายนัก เจ้าคิดอยากทำก็มีให้ทำหรือ?” หลิวจวิ้นสาดน้ำเย็นดับฝันนางอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี ท่านเพียงพูดว่าตกลงหรือไม่ก็พอ? ขอแค่ข้าสามารถคลี่คลายคดีได้ ท่านก็รับปากเลื่อนตำแหน่งให้ข้า ได้หรือไม่?”
“เรื่องแบบนี้จะรับปากส่งเดชได้อย่างไร?” หลิวจิ้นพูด “ต้องดูว่าคดีเล็กใหญ่ขนาดไหน!” เรื่องเลื่อนตำแหน่งอาศัยแค่คำพูดนางก็เพียงพอให้รับปากหรือ? เห็นทัพสวรรค์เป็นของเล่นหรือยังไง?
มู่จิ่วพูด “เช่นนั้นจิ้งจอกเก้าหางแห่งชิงชิวสามตัวที่ถูกคนสังหาร ของวิเศษที่หายไป และแม้แต่เรื่องที่จิตจิ้งจอกขององค์ชายสี่ถูกขโมยไป พอที่จะใช้เป็นเกณฑ์ได้หรือไม่?”
ครั้นนางพูดเช่นนี้ออกมา คนทั้งลานบ้านต่างลืมหายใจ!
แม้แต่สายตาของลู่ยาก็เปลี่ยนไปนิ่งขรึม
หลิวจวิ้นขมวดคิ้ว “จิ้งจอกเก้าหางแห่งชิงชิวถูกสังหาร? หมายความว่ายังไง?”
มู่จิ่วปรับลมหายใจก่อนพูดขึ้น “ระหว่างเดินทางกลับมายังสวรรค์เมื่อครู่ ข้าน้อยบังเอิญเจอจิ้งจอกเก้าหางตัวหนึ่ง นางเห็นหลินเจี้ยนหรูเข้า อยู่ๆ กลับพูดว่าจะเอาชีวิตเขา ภายหลังพวกเราถามนางถึงได้รู้ว่าชิงชิวเกิดคดีใหญ่ ไม่เพียงแต่ถูกขโมยของวิเศษชิ้นสำคัญไป ยังมีจิ้งจอกตายต่อเนื่องกันสามตัว ฆาตกรนั้นโหดเหี้ยมนัก”
“จิ้งจอกแห่งชิงชิวจึงโกรธแค้นมาก ออกติดตามหาฆาตกร และไล่จับคนสังหารคนโดยไม่แยกแยะดำขาว คราวก่อนถูกข้าน้อยพบเข้า ใต้เท้ามิสู้มอบคดีนี้ให้ข้าน้อยทำ หากข้าน้อยสามารถทำออกมาได้ดี ก็ให้รางวัลเลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อย ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
คดีใหญ่ขนาดนี้ แต่เดิมนางไม่เคยคิดว่าตนเองจะได้ทำ คิดเพียงหลังจากบอกหลิวจวิ้นแล้วก็ให้เขาจัดการ หน่วยลาดตระเวนมีเจ้าหน้าที่เชี่ยวชาญเรื่องคลี่คลายคดีโดยเฉพาะ อันดับแรกคดีนี้คงมาไม่ถึงมือนาง อันดับสองนางไม่ได้คาดหวังไว้ ฆาตกรที่สังหารจิ้งจอกคือคนของลัทธิฉ่าน เรื่องนี้นางเข้าไปยุ่งไม่ไหว แต่ตอนนี้เพื่อย้ายออกจากลานบ้านนี้ นางต้องโพล่งอะไรออกไปบ้าง!
ไม่สนว่าลู่ยาจะอยู่ต่อได้หรือไม่ ยังไงนางก็ไม่อยากอยู่กับหยางอวิ้นและอวี๋เสี่ยวเหลียนแล้ว!
จางเหยี่ยนซิงจวินต้องไม่ย้ายนางออกไปอย่างแน่นอน นางทำได้เพียงอาศัยโอกาสนี้ดิ้นรนเอาละ!
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?” หลิวจวิ้นสีหน้าเครียด จางเหยี่ยนซิงจวินและเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างก็ล้อมวงเข้ามา “ทำไมถึงไม่ได้ยินคนจากชิงชิวมาฟ้องร้องเลย?”
“ใต้เท้าอาจลืมไปแล้ว ชิงชิวเป็นเผ่าพันธุ์เทพโบราณ มีอำนาจและกำลัง พวกเขาจะเสียเวลากับกระบวนการตามปกติได้อย่างไร? พูดอย่างไม่ปกปิดใต้เท้า พวกเราเจอจิ้งจอกเก้าหางเข้าโจมตีหลินเจี้ยนหรู เพราะว่ามีคนพบเห็นศิษย์ลัทธิฉ่านปรากฎตัวอยู่ที่ชิงชิว และยังเจออยู่แถวบริเวณจุดสังหารอีกด้วย”
“ดังนั้นตอนนี้พวกเขาแค่เห็นศิษย์ลัทธิฉ่านก็เข้าสังหารทันที เมื่อครู่ข้ากับหลินเจี้ยนหรูไปหาใต้เท้าที่หน่วยเพื่อรายงาน นึกไม่ถึงว่าท่านจะอยู่ที่นี่ ข้าน้อยรู้สึกว่าคดีนี้ต้องดูแลอย่างจริงจัง ต้องจัดการอย่างรวดเร็วที่สุด มิฉะนั้นแล้ว หากทิ้งไว้นานอาจจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายครั้งใหญ่!”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางพูดใหญ่โตให้คนตกใจ อำนาจของชิงชิวกับลัทธิฉ่านต่างก็มิอาจดูแคลน ชิงชิวแม้คนจะน้อย แต่เหล่าเผ่าพันธุ์เทพโบราณต่างก็รวมกันเป็นกลุ่มก้อนมานานแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างกันมั่นคง หากมีเผ่าพันธุ์ใดโดนทำร้าย เผ่าพันธุ์อื่นจะต้องไม่อยู่นิ่งเฉยแน่ หากลัทธิฉ่านต้องการจะงัดข้อด้วย ก็จะกลายเป็นเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรง ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครอยู่วงนอกได้แล้ว
ไม่มีผู้ใดค้านคำพูดนาง
เรื่องแบบนี้ง่ายต่อการคาดเดานัก หากพูดว่าเรื่องเขาเนินอารามก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องชิงชิวจะไม่เล็กน้อยเหมือนกันแน่นอน
ลู่ยาถาม “นางทำร้ายเจ้าหรือไม่?”
“เปล่า” มู่จิ่วมองอาฝู “เป็นอาฝูที่ช่วยข้าไว้ นางเห็นแก่เขาที่เป็นเสือขาวจึงปล่อยพวกเราไป”
หลิวจวิ้นพลันเบนสายตาไปหาหลินเจี้ยนหรู หลินเจี้ยนหรูคล้ายกำลังเหม่อลอย อีกนานกว่าจะเงยหน้าขึ้นพูด “มู่จิ่วพูดไม่ผิด จิ้งจอกเก้าหางนั่นพูดแบบนั้นจริง”
“เป็นลัทธิฉ่านอีกแล้ว!” หลิวจวิ้นไพล่มือไปข้างหลัง คิ้วขมวดเป็นปม
“ชิงชิวเองก็เกิดเรื่อง? ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้!” ซ่างกวนสุ่นกระพือปีกออกมาจากด้านหลังของเสี่ยวซิง “ของวิเศษของพวกเรากว่าพันชิ้นนั่นยังหาร่องรอยไม่เจอเลย! ไม่แน่ว่าเรื่องของพวกเราอาจเป็นลัทธิฉ่านที่ลงมือเช่นกัน!”
มู่จิ่วกวาดสายตามองเขา
หลิวจวิ้นลังเลอยู่นาน ขมวดคิ้วใส่มู่จิ่ว “เจ้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังอีกที!”
มู่จิ่วเล่าเรื่องที่ได้เจอจิ้งจอกเก้าหางให้ฟังอย่างหมดเปลือก เมื่อเล่าจบนางก็พูดขึ้น “ท่าทีของจิ้งจอกแดงคือราชาจิ้งจอกโกรธเกรี้ยวมาก รออีกไม่นานลัทธิฉ่านต้องได้รับข่าวแน่นอน คราวนี้จะทำเหมือนครั้งการตายของปีศาจงูเขียวไม่ได้ ต้องสืบให้ถึงที่สุด!”
หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง ไม่ได้ตอบแต่ครุ่นคิดเงียบๆ ต่อ
มู่จิ่วพูดต่อ “ใต้เท้า…”
หลิวจวิ้นหันหน้ามาเผชิญหน้ากับนาง “เจ้าก็พูดแล้วว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่ เจ้ามีฝีมืออะไรมาจัดการมันบ้าง?”
“ใต้เท้าได้โปรดเชื่อใจข้าสักครั้ง!” มู่จิ่วรีบพูด “ท่านทำเป็นว่าให้โอกาสข้าน้อยเพื่อชี้วัดมาตรฐานการนำทหารของท่านก็ได้ หากข้าทำได้ดี ไม่เพียงจะมีประโยชน์ต่อชื่อเสียงของสวรรค์ ยังเป็นหน้าเป็นตาแก่ท่านอีกมิใช่หรือ? สรุปคือในเมื่อข้ากล้ารับทำเรื่องที่เต็มกลืนนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะแบกรับอย่างเต็มที่!”
“ใต้เท้า” หลิวจวิ้นยังไม่พูดอะไร หลินเจี้ยนหรูก็เดินขึ้นมาข้างหน้า “ข้าน้อยยินดีช่วยนางทำคดีนี้”
ลู่ยาชำเลืองมองเขาคราหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความดูแคลน เขาช่วยทำคดีได้? เขาจะช่วยทำคดีด้วยการเป็นตัวถ่วงหรือไง?
ฉันพลันรู้สึกว่าแขนเสื้อขยับ ก้มหน้าลงดู เห็นเป็นมู่จิ่วมองมาที่เขาอย่างคาดหวัง แต่เดิมเขาไม่คิดที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่างแย่ที่สุดถึงตอนนั้นเขาก็จากไปอย่างเงียบๆ แต่การดึงแขนเสื้อครั้งนี้ทำให้เขาพูดไม่ออกอีกแล้ว ช่างเถอะ เห็นแก่นางที่ดูน่าสงสารขนาดนี้ ทนนางเสียหน่อย หากนางสามารถเลื่อนตำแหน่งย้ายออกจากลานบ้านนี้ได้ ภายหน้าเขาจากไปก็ไม่ต้องกังวลว่านางจะเข้ากับใครไม่ได้
เขาฝืนพูดออกไป “ข้าถึงแม้จะไม่ใช่คนของทัพทหาร แต่ข้าเคยไปชิงชิวมาหลายครั้ง ข้าเองก็สามารถช่วยเหลือได้บ้าง”
หลิวจวิ้นลังเลและไร้คำพูด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมองมู่จิ่ว “เจ้าอยากทำคดีนี้จริงหรือ?”
“อยากแน่นอน!” มู่จิ่วพูดเสียงดัง “อยากทำมาก!”
หยางอวิ้นกับอวี๋เสี่ยวเหลียนส่งเสียงเยาะเย้ยพลางเบ้ปาก ช่วยไม่ได้ นี่เป็นเรื่องในหน่วยพวกเขา พวกนางไม่มีหนทางสอดปาก จึงทำได้เพียงอดกลั้นไว้
…………………………………………