ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 69
ครั้นนางเปิดตาขึ้น ภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป สวนยังคงเป็นสวนเดิม แต่กลับมีดอกไม้หลากหลายสีสันเต็มไปหมด แสงเงาสาดส่อง กระดาษสีและโคมไฟประดับงดงามระยิบระยับอยู่ทั่ว สาวใช้ในวังซึ่งสวมเสื้อหลากสีขวักไขว่ไปมาอยู่ในทางเดินรอบอาคาร ทุกสามก้าวมีพลอารักขาใส่เกราะกระจายตัวรักษาการอยู่ใต้กำแพง กลิ่นของดอกไม้นานาพรรณลอยแตะจมูกบางๆ ทั้งยังมีเสียงอีกด้วย
ที่แท้แค่พลังฤทธิ์ของนางอ่อนไปเท่านั้น
“เสียงอสูรกายกับกลมายาต่างก็เป็นอาวุธของพวกเขา ใช่ว่าทุกคนจะดูออก?”
ลู่ยาเดินไปข้างหน้าต่อ “รอผ่านไปสามพันปีก่อน เจ้าคงพอจะเห็นร่องรอยบ้าง”
สามพันปี…หากไม่เลื่อนขั้นล่ะก็ นางยังไม่รู้ว่าจะสามารถมีอายุยืนถึงห้าพันปีหรือไม่!
“เอาล่ะ เอาล่ะ รู้แล้วว่าเจ้าเก่ง” นางโบกมือแทรกตัวไปข้างหน้า วิ่งตึงตังตรงไป
เพิ่งวิ่งไปได้ครึ่งลี้ นางก็ชนกับคนที่เดินมาใต้ต้นหลิวโค้งงอเข้าอย่างจัง!
“โอ๊ะ ขอโทษด้วย!”
นางรีบกุมหน้าผากพลางขอโทษ
อีกฝ่ายกลับหมุนกายมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้าคือใคร?”
เสียงอยู่เหนือศีรษะ มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเพียงชายเสื้อดำผมเงินอยู่ด้านหน้า
ชายหนุ่มไม่เพียงมีผมสีเงิน ดวงตาก็เป็นสีเงินอมเทา ตัดกับเสื้อสีดำที่ปกคลุมร่างกายได้สะดุดตาอย่างมาก ใบหน้าของเขาเหี้ยมเกรียม ร่างกายตรงทื่อเหมือนธนูที่ขึงตึง แขนยาวทั้งสองข้างไพล่อยู่ด้านหลัง เปลือกตาหลุบต่ำมองนาง ในลานนี้ไม่มีลมแม้แต่น้อย ทว่าผมสีเงินยาวเสมอเอวกลับลอยเบาๆ อยู่กลางอากาศ
“ข้าคือกัวมู่จิ่ว มาเพราะได้รับคำสั่งจากค่ายทหารสวรรค์ เมื่อครู่เดินไม่ระวัง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
จะอย่างไรก็เป็นถิ่นของคนอื่น มู่จิ่วจึงรีบบอกที่มาของตัวเอง
“คนของทัพสวรรค์?”
คนผู้นี้หรี่ตาทั้งคู่ลง แต่เดิมสายตาที่ยังนับได้ว่าปกติอยู่ ตอนนี้พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “พวกเจ้ามาทำอะไร?” เขาไม่ลืมกวาดตามองลู่ยาที่เดินตามมู่จิ่วมาทางด้านหลัง คิ้วหยุดอยู่บนร่างเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ่งขมวดกันแน่น
“ได้ยินองค์หญิงหลิวเย่บอกว่าวันก่อนชิงชิวเกิดเรื่องเล็กน้อย พอดีกับที่ลัทธิฉ่านเกิดเรื่องยุ่งยากเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจึงรับคำสั่งจากค่ายทหารสวรรค์มาสืบคดีนี้ ไม่ทราบท่านมีนามว่าอะไร?”
เสื้อผ้าของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา สถานะต้องไม่ต่ำแน่ มู่จิ่วจำเป็นต้องเจียมเนื้อเจียมตัวเสียหน่อย
“พวกเจ้าเป็นสุนัขรับใช้ของลัทธิฉ่าน?” คนผู้นี้ไม่ตอบคำถามนาง กลับกันน้ำเสียงยิ่งเย็นเยียบซึมเข้าสู่ใจคน
มู่จิ่วไม่ใคร่พอใจนัก อย่างไรนางก็เป็นผู้ปฏิบัติงานของสวรรค์ และยังสุภาพด้วยขนาดนี้ ถึงแม้เจ้าจะไม่เห็นสวรรค์อยู่ในสายตา แต่อย่างไรก็ไม่ควรพูดจาไม่น่าฟังขนาดนี้? นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเรายังมีเรื่องต้องไปทำ ในเมื่อท่านไม่คิดจะสนทนามาก เช่นนั้นโปรดให้อภัยที่พวกเราไม่อาจอยู่ด้วยได้”
พูดจบนางก็ก้าวเท้าขึ้นเดินผ่านเขาไป
“ช้าก่อน!”
เพิ่งเดินไปได้สองก้าวก็เห็นเงาสีเงินพาดผ่านด้านหน้า คนผู้นั้นเคลื่อนตัวมา สีหน้าเทียบกับเมื่อครู่นี้แล้วยิ่งไม่น่ามอง “เจ้าคิดจะไปทั้งแบบนี้? ประมือกับข้าสักหลายกระบวนท่าก่อนค่อยว่ากัน!” พูดจบ มือขาวสะอาดคู่นั้นก็พลิกพลิ้วกลางอากาศราวกับดอกบัว สาดกระจายลูกแสงแยงตาออกมานับไม่ถ้วน ลูกแสงเหล่านี้ค่อยๆ รวมกันเป็นจิ้งจอกเงินตัวใหญ่ อ้าปากง้างกรงเล็บพุ่งเข้าหานาง!
“ระวัง!”
กระบวนท่านี้น่ากลัวแบบที่มู่จิ่วไม่เคยเจอมาก่อน ทว่านางก็จำต้องรวบรวมสมาธิทั้งหมดตอบโต้กลับไป! อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่นางจะลงมือ แขนข้างหนึ่งก็ดึงนางเข้าสู่อ้อมอกราวกับพายุหมุน!
“นี่คือองค์ชายสองมู่หรงเส่าชิงแห่งชิงชิว เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก!”
พูดจบลู่ยาก็ผลักนางไปอยู่หลังต้นไม้ จากนั้นหมุนตัวยกฝ่ามือต้านการโจมตีของเส่าชิงไว้! จิ้งจอกโหดเหี้ยมตัวนั้นถูกกระแทกถอยไปราวสามจั้ง มู่หรงเส่าชิงเพ่งสายตาจับจ้อง จิ้งจอกตัวนั้นพลันกระโจนตัวกลับมาราวกับดาวตก!
จากตอนที่เส่าชิงลงมือจนถึงลู่ยาตอบโต้เป็นเพียงแค่เรื่องในพริบตาเดียว ทางมู่จิ่วเพิ่งจะกอดลำตันยืนได้อย่างมั่นคง พวกเขาก็สู้กันไปถึงระดับหนึ่งแล้ว
ที่แท้ลู่ยาไม่ได้พูดเล่น องค์ชายสองแห่งชิงชิวผู้นี้ฝีมือเก่งกล้า ลงมือไม่มีลังเลแม้แต่น้อย ทั้งสวนดอกไม้นี้เห็นเพียงเงาร่างสีดำกับสีเงินปะปนกันราวกับมังกรแหวกว่ายไปมา ตรงกลางมีเสียงคำรามออกมาบ้างบางคราว ดอกไม้ใบหญ้าในรัศมีครึ่งลี้ถูกพลังของเขาทำให้หมุนเป็นน้ำวน และใจกลางน้ำวนนั้นมุ่งตรงเข้าหาลู่ยา!
มู่จิ่วจิกลำต้นแน่นพลางมองไปยังลู่ยา วันนี้เขายังคงสวมเสื้อเรียบง่าย ผมยาวเกล้าไว้บนศีรษะ เพียงนำไม้หอมก้านหนึ่งมาปักไว้เท่านั้น ทั้งร่างดูแล้วอากัปกิริยาเหนือสามัญ ท่วงท่าไร้ที่ติ แม้แต่ลงมือยังเหมือนทุกวันที่เขาจิบชาอยู่ในเขตพลัง มีความนิ่งสงบยากจะบรรยาย ภายใต้สถานการณ์ที่คู่ต่อสู้แข็งแกร่ง เขากลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย
แต่มู่จิ่วยังกังวลแทนเขา เพราะนางเคยเจอความแข็งแกร่งของจิ้งจอกเก้าหางมาก่อน…เอ๊ะ จิ้งจอกเก้าหาง? จิ้งจอกแดง?
คิดมาถึงตรงนี้ มู่จิ่วพลันนึกถึงคำพูดของมู่หรงหลิวเย่ก่อนนางจะจากไปที่ด้านนอกเมืองต้าหนิง มู่หรงหลิวเย่เคยพูดว่า หวังว่ามู่จิ่วกับหลินเจี้ยนหรูจะไม่เจอกับพี่รองของนาง ในเมื่อนางเป็นบุตรีของราชาจิ้งจอก อย่างนั้นพี่ชายรองของนางก็คือองค์ชายสองเบื้องหน้าคนนี้? นางยกพี่รองขึ้นมาพูดคนเดียว หมายความว่าเขายากจะต่อกรด้วยเป็นพิเศษ?
มู่จิ่วเริ่มรู้สึกว่าแผ่นหลังหลั่งเหงื่อออกมา
มู่หรงหลิวเย่มีชีวิตอยู่มาสามหมื่นปีแล้ว พี่ชายของนางย่อมอยู่มานานกว่ามาก ลู่ยาเป็นเพียงซ่านเซียน เขาจะสู้เขาไหวหรือ?
ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ชาย พบเจออันตรายยืดตัวเข้าสู้คือศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่อาจทิ้งชีวิตไปเพื่อศักดิ์ศรีหรอกนะ!
หากนางตายก็ถือได้ว่าสละชีวิตในหน้าที่ หากเขาเสียชีวิตไปจะถือว่าเป็นอะไร?
ไหนบอกว่าคืนพระจันทร์เต็มดวงจะบวงสรวงบูชาไม่ลงมือสังหาร!
ตอนนี้คืออะไรกัน?!
คิดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้พุ่งออกมา ตะโกนใส่เส่าชิงว่า “ข้าเป็นสหายกับองค์หญิงหลิวเย่! ข้าขอพบนาง!”
แต่เสียงที่ออกไปก็เหมือนกับโคลนจมในมหาสมุทร ไม่เพียงเส่าชิงจะไม่หยุด พลังปราณรอบๆ กลับยิ่งเข้มข้นขึ้น!
ดูเหมือนชายคนนี้จะไม่เห็นนางอยู่ในสายตาแต่แรก
และดูจากที่เขาไม่ฟังก็เข้าโรมรัน สักแปดส่วนคงได้ยินข่าวมาแต่เนิ่นๆ จึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อหาเรื่อง!
จะทำอย่างไรดี?
นางต้องช่วยลู่ยา!
แต่นางเข้าไปสู้ไม่ได้ ดันทุรังเข้าไปจะเป็นการถ่วงเขา…
มู่จิ่วมองดูพวกเขาที่กำลังต่อสู้กันพัลวัน นางกัดฟัน พลันเรียกพลังฤทธิ์ กระโดดตัวขึ้นไปกลางอากาศ แล้วข้ามผ่านพวกเขามุ่งตรงไปข้างหน้า!
พลังฤทธิ์ของนางน้อยนิดแถมยังถูกผนึกไปครึ่งหนึ่ง ยิ่งไม่รู้จักการปิดบังลมหายใจซ่อนพลัง การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงย่อมอึกทึกไม่น้อย แน่นอนว่าทำให้เส่าชิงตกใจ ผมสีเงินเพียงสะบัด ฝ่ามือหนึ่งก็ซัดไปทางหลังมู่จิ่ว!
ลู่ยาคาดไม่ถึงว่านางจะทำแบบนี้ หมัดนี้ของเส่าชิงนางจะรับไหวได้อย่างไร? เขารีบกระโจนตัวเข้าไปปัดมืออีกฝ่ายออก แต่มู่จิ่วที่เห็นชัดเจนว่าพุ่งตรงไปข้างหน้า ตอนนี้กลับพลันหายไป! ราวกับระเหยกลายเป็นไอ แม้แต่วิชาซ่อนร่างของเทพเซียนยังไม่เร็วขนาดนี้!
ลู่ยานิ่งอึ้งไป เส่าชิงยิ่งอึ้งงันจนลืมแม้แต่จะลงมือ หมุนตัวไปรอบๆ พลางตะโกน “เจ้าเด็กสมควรตาย เจ้าออกมาหาข้า!”
เสียงยังไม่ทันจบ เขาพลันสะดุดไปข้างหน้า ตอนนี้เองลู่ยาก็พุ่งเข้าไปด้านหลังเขาอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นพลิกตัวร่ายคาถาเซียนแตะไปบนหน้าผากเขา เส่าชิงตัวแข็งทื่อล้มไปบนพื้นราวกับถูกจี้จุด เหลือแต่ปากที่สามารถตะโกนด่าเท่านั้น “เจ้ากล้าลอบทำร้ายข้า! อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีก!”