ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 88
มู่จิ่วนอนหลับเต็มอิ่ม
ตอนตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจ ก็รู้สึกเหมือนเตะโดนของบางอย่างที่เป็นขนฟูๆ นางเปิดตาขึ้น เห็นก้อนขนเล็กๆ สีทองสว่างไสวปีนอยู่บนแขน
“จิ้งจอกน้อย?” นางอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนผุดลุกขึ้นนั่ง เบิกตากว้างมองดูมันอย่างละเอียด เห็นเพียงลำตัวยาวสองฉื่อปกคลุมไปด้วยขนอ่อนนุ่ม และดวงตาสีดำขลับมีชีวิตชีวากระจ่างใส นี่ไม่ใช่จิ้งจอกน้อยที่นอนราบอยู่บนแท่นหยกแล้วจะเป็นใครไปได้? แต่เขาสูญเสียจิตต้นกำเนิดไปแล้วไม่ใช่หรือ? หรือจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน? ไม่เคยได้ยินว่าเขามีฝาแฝดนี่!
“ข้าคือองค์ชายสี่แห่งชิงชิว” จิ้งจอกน้อยก้มศีรษะมองนาง แววตาอ่อนโยนราวกับปุยขาวของเม็ดหลิวในเดือนสาม “พี่สาวนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ”
“เจ้ายังพูดเป็นด้วย?” มู่จิ่วประหลาดใจ เห็นอาฝูตัวโตขนาดนั้นยังพูดไม่เป็น นางจึงเข้าใจไปว่าสัตว์เทพเล็กๆ จะพูดไม่เป็นทั้งหมด นางดึงเขาเข้ามากอดอย่างยินดี ประคองศีรษะเขาดูซ้ายดูขวา “เจ้าคือจิ้งจอกน้อยบนแท่นหอมหมื่นลี้? เจ้าตื่นขึ้นมาได้อย่างไร? หากหาจิตจิ้งจอกไม่พบเจ้าจะตื่นขึ้นมาไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”
“ข้าก็ไม่รู้” มู่หรงรุ่ยเจี๋ยเงยหน้าขึ้น “ข้าเหมือนกับพี่สาว อยู่ที่นี่มาหนึ่งวันแล้ว จะมีเทพเซียนหน้าตางดงามอย่างมากคนหนึ่งเข้ามาดูท่านทุกหนึ่งชั่วยาม จากนั้นมีพี่ชายหน้าตาดีผู้หนึ่งแต่เสียงไม่น่าฟังเข้ามาคุยกับท่านบ่อยครั้ง แต่ท่านก็ไม่ตื่น”
เทพเซียนหน้าตางดงามอย่างมากเป็นลู่ยาแน่นอน ส่วนหน้าตาดีแต่เสียงไม่น่าฟังนอกจากซ่างกวนสุ่นแล้วจะเป็นใครไปได้?
มู่จิ่วกำลังจะถามว่าพวกลู่ยาไปไหน ประตูห้องที่มีภาพสลักซับซ้อนหาดูยากพลันเปิดออก ลู่ยาเดินเข้ามา ยามที่สายตามองนางมีแสงพาดผ่าน จากนั้นก้าวอย่างมั่นคงเข้ามา พูดขึ้นว่า “ในที่สุดก็ตื่นแล้ว” พูดจบก็ไม่มองมู่หรงรุ่ยเจี๋ยสักนิด ยื่นมือจับหลังคอจิ้งจอกน้อยแล้ววางเขาลงบนพื้น
มู่จิ่วอึ้งมองมู่หรงรุ่ยเจี๋ยสะบัดขนเดินเชื่องๆ ไปหมอบอยู่ใต้โต๊ะ ก่อนมองไปรอบม่านที่ทำจากหินโมราร้อยเข้าด้วยกัน มุ้งที่ทักทอจากไหมน้ำแข็ง ก่อนถามลู่ยา “ที่นี่ที่ไหน? ข้าออกมาจากระฆังได้อย่างไร?”
ลู่ยาลูบหน้าผากนาง ใช้มือจับผมยาวอันยุ่งเหยิงของนาง ไม่ตอบคำถาม แต่หันไปพูดกับซ่างกวนสุ่นที่เดินเข้ามา “ตักน้ำมา! แล้วชงชา!”
“ขอรับ!” ซ่างกวนสุ่นเดินออกไปโดยไม่ต่อรองแม้แต่น้อย
มู่จิ่วเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เจ้าเด็กนั่นทระนงตน ทุกครั้งต้องใช้ฐานะองค์ชายเจ็ดแห่งตระกูลซ่างกวนผู้สูงศักดิ์อวดเบ่ง นางเพิ่งนอนไปตื่นหนึ่ง เขากลับปฏิบัติต่อลู่ยาอย่างอ่อนน้อมเชื่อฟัง! คิดไม่ถึงอีกว่าจะยอมให้ใช้ตักน้ำรินชาให้นางด้วย?
มิใช่ว่านางยังไม่ตื่นหรอกนะ?
นางลองหยิกแขน เจ็บ!
ลู่ยามองนางนิ่งๆ ไม่พูดจา ตอนนี้ได้น้ำมาแล้ว เขาบิดผ้าเช็ดหน้าให้นาง จากนั้นป้อนน้ำ เพิ่มพลังลมปราณให้บางส่วน เห็นใบหน้านางค่อยๆ มีเลือดฝาด จึงค่อยเก็บมือกลับมา “นี่คือห้องบรรทมของราชาจิ้งจอก แต่เจ้าวางใจได้ ข้าเปลี่ยนเตียงกับผ้าห่มเป็นของใหม่หมดแล้ว สะอาดมาก”
มู่จิ่วถึงกับสำลัก!
ห้องบรรทมของราชาจิ้งจอก?!
ตอนที่นางนอนอยู่พวกเขาทั้งสองทำอะไรไว้กันแน่?!
ยึดครองสถานที่สำคัญขนาดนี้ พวกเขาบ้าไปแล้ว!
“ทำไม?” นางรีบโดดลงจากเตียง มองดูรอบด้านที่ตกแต่งงดงามพลางพูด “แล้วราชาจิ้งจอกล่ะ?”
“ไม่รู้” ลู่ยาผายมือ พูดอย่างซื่อๆ
เมื่อคืนวานเขาอุ้มนางมุ่งตรงมายังวังซ่าน ส่วนเรื่องที่เหลือจากนั้นเขาก็ไม่สนใจแล้ว
มีจิ้งจอกน้อยอยู่ในมือ แม้แต่เขตพลังเขาก็ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้ ถึงแม้นอกวังออกไปสามชั้นจะมีผู้คนจำนวนไม่น้อยรวมตัวกัน แต่กลับไม่มีใครกล้าบุกเข้ามา
ส่วนซ่างกวนสุ่น หลังจากเห็นด้วยตาตนเองว่าลู่ยาลงมือทลายระฆังนั่นได้ก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร!
มู่จิ่วยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิม พลันพูดขึ้นว่า “ทำไมเจ้าถึงได้เก่งขนาดนี้?”
เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนางหลับถึงแม้นางจะไม่รู้ทั้งหมด แต่เรื่องก่อนจะหมดสติไปนางกลับจำได้หลายส่วน
นางจำได้ว่าตอนที่นางกับซ่างกวนสุ่นโดนผัดเป็นเกาลัดในระฆัง เหมือนกับลู่ยาจะกลับมาตอนนั้น จากนั้นเขาก็ทำลายระฆังนั่นได้ ก่อนที่นางจะผ่อนคลายลง…
นางกับซ่างกวนสุ่นต่างทำอะไรกับระฆังไม่ได้ ลู่ยากลับใช้พลังสายหนึ่งทำลายลงได้อย่างสบายๆ? แน่นอนว่าพลังฤทธิ์ของเขาเทียบกับทั้งสองแล้วสูงกว่า แต่นั่นก็เกินจริงไปแล้วกระมัง? ยังมีจิ้งจอกน้อยที่โดนเขาชิงมา พวกราชาจิ้งจอกจะไม่คิดหาวิธีชิงกลับไปหรือ?
ไหนจะจิ้งจอกโหดเหี้ยมที่ใจแคบยิ่งกว่าปลายจมูกนั่น ลู่ยาทำลายระฆังของเขา เขากลับไม่มาหาเรื่อง?
“พูดมาตามตรง แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใคร?” นางก้าวเท้ายาวๆ ไปตรงหน้าลู่ยา สายตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ
ตัวเขามีเรื่องน่าสงสัยมากเกินไป หากพูดถึงเรื่องเมื่อก่อนนั้นยังอาจไม่สนใจ แต่ตอนนี้นางไม่สามารถกล่อมตัวเองให้ยอมเชื่อได้
ลู่ยาพูด “ข้าก็คือลู่ยา”
“เหลวไหล!” มู่จิ่วจ้องเขา “ยังพูดมั่วซั่วอีก เจ้าเห็นข้าโง่หรืออย่างไร?” เข้าใจว่านางยังเชื่อคำพูดพิเรนทร์ของเขา เห็นเขาเป็นซ่านเซียนของสำนักใดสำนักหนึ่ง นางยังไม่โง่ขนาดนั้น
ลู่ยาไม่พูดแล้ว
คนเราก็แบบนี้ บางครั้งพูดความจริงกลับไม่มีคนเชื่อ
เขาพูดกับซ่างกวนสุ่นที่เดินมองพวกเขาอยู่รอบๆ “เจ้าพาจิ้งจอกน้อยไปเดินเล่นหน่อย”
ซ่างกวนสุ่นเพียงได้ยิน ก็รีบอุ้มเจ้าจิ้งจอกน้อยที่งีบหลับอยู่ใต้โต๊ะออกไปทันที
ลู่ยาเปลี่ยนท่านั่งให้สบายขึ้น ก่อนเอ่ย “หากข้าบอกเจ้าว่าข้าคือลู่ยาที่จิ้งจอกเฒ่าพูดถึง เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ตกใจ? เคารพบูชา? เป็นลม? ไม่เป็นไร เขารับได้ทั้งหมด
“จะฆ่าเจ้าน่ะสิ!”
มู่จิ่วพลันหยิบกระบี่จากหัวเตียงขึ้นมา เป่าคมกระบี่ทีหนึ่ง
ลู่ยาเงียบไปนานกว่าจะเอ่ย “เพราะเหตุใด?”
“เพราะเจ้ามันคนหลอกลวง! เจ้าจะเป็นลู่ยาเต้าจู่ได้อย่างไร?” มู่จิ่วพูดอย่างมั่นใจ “ลู่ยาเต้าจู่เป็นศิษย์ของปฐมวิญญาณ อยู่เหนือหกภพภูมิ เป็นเซียนสูงส่งผู้ปกปักษ์รักษากฎสวรรค์ จะเป็นเจ้าที่ไม่ปกติไปได้อย่างไร? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าปลอมเป็นลู่ยาเต้าจู่ แน่นอนว่าข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
ลู่ยาลูบคาง อึ้งเสียจนพูดไม่ออก
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ” เขายืนขึ้น “เจ้าถือว่าข้าเป็นมหาเทพเซียนที่ซ่อนพลังแท้จริงไว้สักคนแล้วกัน”
มู่จิ่วจ้องจนเขาหมุนตัวกลับไปจึงละสายตามา
บอกว่าเป็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความสามารถยังเชื่อได้หน่อย
ทว่าถึงแม้เขาไม่ใช่ซ่านเซียนแต่เป็นมหาเทพเซียน ทำไมเขาต้องพูดโกหกด้วย? มหาเทพเซียนก็ไม่ขายหน้าเสียหน่อย
คงไม่ใช่ว่าฐานะของเขามีความลับอะไรที่พูดออกมาไม่ได้หรอกนะ?
แต่เขาบอกว่าตนคือลู่ยาเต้าจู่…เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าไร้สาระ เหมือนกับใส่รองเท้าแตะกินปิ้งย่างอยู่ข้างถนน แล้วเพื่อนที่ร่วมเดินทางพลันพูดว่าเขาคือซุนหงอคง เจ้าต้องรู้สึกว่าเขาประสาทอยู่แล้ว! คงไม่ใช่เพราะราชาจิ้งจอกบอกว่าเขาเหมือนลู่ยาแล้วเขาจะเป็นลู่ยาหรอกกระมัง?
ในใจมู่จิ่วเกิดความสับสนขึ้นมาเล็กน้อย