ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 98
ลู่ยาหัวเราะเยาะเย้ย ก่อนยืนขึ้น “หลายปีก่อนตงหัวคิดจะให้ข้ารับเส้าเฮ่าบ้านตระกูลเขาข้ายังไม่รับปาก! ย่าเจ้าเถอะ เป็นจิ้งจอกอายุบำเพ็ญเพียงไม่กี่พันปีก็คิดจะเอาเปรียบข้าหรือ?”
ตอนแรกสุด สัตว์น้อยกลุ่มนั้นข้างกายหนี่ว์วาเขาไม่ต้องตาสักตัว เจ้าจิ้งจอกเหม็นโฉ่นี่กลับกล้าหาญนัก ส่งลูกชายที่สูญเสียจิตจิ้งจอกไปแล้วมา นี่ไม่ได้หมายความว่าจะให้เขาดูแลความเป็นตายของจิ้งจอกน้อยหรือ? ยังไงก็เกาะติดอยู่กับเขาแล้ว ไม่ว่าผลของคดีจะออกมาเป็นอย่างไร จิ้งจอกน้อยเป็นศิษย์ของเขา ความเป็นความตายของเด็กน้อยเขาเป็นคนดูแล!
ช่างเป็นตาเฒ่าที่มีเล่ห์เหลี่ยมนัก!
ไม่สิ ทำไมเรียกเขาว่าตาเฒ่าไปได้? อีกฝ่ายอายุเพียงสองแสนปี หากเขาแก่แล้ว ตนเองมิยิ่งแก่กว่าหรือ?
“แต่ผู้อาวุโสของพวกเรากับท่านจู่ซือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน!” ราชาจิ้งจอกพูดโน้มน้าวอย่างไม่ลดละ “หากท่านยอมรับปากสิบสาม ภายหลังสิบสามจะเชื่อฟังท่านทุกประการ!”
“พูดแบบนี้แสดงว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ซื่อสัตย์ต่อข้า?” สายตาของลู่ยาเหมือนใบมีดส่งไป
“แน่นอนว่าไม่ใช่!” ราชาจิ้งจอกรีบพูด “หากข้ากล้าไม่ซื่อสัตย์ต่อท่าน จะเอาลูกตนเองส่งให้ท่านหรือ?”
ลู่ยาส่งสายตาเป็นนัยว่าเขารู้จักพูด จากนั้นมองพู่ดอกไม้ที่ห้อยลงมาจากคานของวัง ผ่านไปครู่หนึ่งพลันพูดขึ้นมา “หากให้รับไว้ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้”
ราชาจิ้งจอกเงยหน้าขึ้นทันที
ลู่ยาหันกลับมา เดินถึงหน้าเขาจึงพูด “แต่เจ้าต้องทำเรื่องหนึ่งแทนข้า”
ราชาจิ้งจอกพูดอย่างตื่นเต้น “เชิญท่านพูด!”
ลู่ยาลูบคาง กดเสียงต่ำพูด “เจ้าต้องไปหาศิษย์พี่รองข้า นำกระดิ่งหุนหยวนมาให้ข้า ห้ามไม่ให้เขารู้ และดีที่สุดคือห้ามไม่ให้ใครอื่นรู้เลย”
ตาทั้งคู่ของเขามองราชาจิ้งจอกอย่างลึกล้ำ สายตาแสดงถึงการครุ่นคิด
ราชาจิ้งจอกขมวดคิ้ว “กระดิ่งหุนหยวน? ที่ท่านเอ้อร์จู่ซือ?” เขารวบรวมความคิด รู้สึกว่าต่อหน้าหุนคุนแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกว่าจะทำให้สำเร็จ จึงพูด “เพียงแค่นำมันมา ท่านก็จะรับปาก?”
“ไม่ผิด” ลู่ยาพยักหน้า “เจ้าเพียงแค่นำมันมาให้ข้า ข้าก็จะรับ”
ราชาจิ้งจอกกระตือรือร้น “รับทราบ! เช่นนั้นอีกไม่กี่วันนี้ข้าจะไปเยี่ยมท่านเอ้อร์จู่ซือ!”
ลู่ยายิ้มอย่างพอใจ “เด็กดี”
มู่จิ่วอยู่ด้านนอกเห็นพวกเขาแต่ละคนเดินยิ้มน้อยๆ ออกมาก็อดใจสั่นไม่ได้
ระหว่างทางกลับนางไม่ได้พูดอะไรเลย จนใกล้ถึงประตูสวรรค์แดนใต้แล้วนางจึงรวบรวมความกล้าถามเขา “เอ่อ จิ้งจอกเงินกับเหล่าลิ่วตระกูลจิ้งจอกขาวเหอเจ๋อแท้จริงแล้วมีเรื่องอะไรกัน?”
ลู่ยาร้องอ้อ พูดว่า “แต่ก่อนมีคนพูดว่าซู่เกาบุตรลำดับที่หกของตระกูลจิ้งจอกงดงามหาใดเปรียบ เอามาเทียบกับเส่าชิง เส่าชิงไม่เชื่อ จึงแอบไปที่เหอเจ๋อเพื่อพิสูจน์จริงเท็จ ผลคือทั้งสองชอบพอกัน ทำให้ราชาจิ้งจอกโกรธจนไปจับเส่าชิงกลับมาจากเหอเจ๋อ จากนั้นก็บังคับให้ตระกูลจิ้งจอกขาวส่งซู่เกาไปให้จักรพรรดิจื่อเวย”
ใจของมู่จิ่วเต้นมาถึงคอแล้ว ที่แท้ตระกูลมู่หรงก็มีความชอบพิสดารแบบนี้…
พูดเช่นนี้เมื่อครู่ที่พวกเขาทั้งสองเข้าไปแล้วยังดึงม่านปิด แท้จริงก็ไม่ปกติแล้ว?
ลู่ยาคนนี้! นางยังเข้าใจไปว่ารสนิยมทางเพศเขาปกติเสียอีก!
หลังจากเข้าประตูสวรรค์แดนใต้ก็มุ่งตรงกลับไปยังหอวิหคแดง บางทีอาฝูคงดมกลิ่นพวกเขาได้ กัดขากางเกงเสี่ยวซิงลากไปยังประตูลานบ้าน
เสี่ยวซิงกำลังยุ่งอยู่กับการต้มเนื้อให้เขา เดิมทีไม่คิดจะไป แต่กลัวว่ากางเกงจะถูกกัดจนเสียหาย จึงวางตะหลิวลงแล้วออกไป เพิ่งถึงต้นท้อในลานบ้าน ก็เห็นมู่จิ่วกับลู่ยาเดินตามกันเข้ามา! “เสี่ยวซิง! อาฝู!” มู่จิ่วพุ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น มือหนึ่งกอดตัวหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อิ่นเสวี่ยรั่วที่เรือนทางใต้ตกใจ
“กลับมาแล้วหรือ” นางพูด ท่าทางยังนิ่งสงบแบบเดิม
แต่มู่จิ่วชินนานแล้ว อย่างไรขอเพียงแค่เป็นคนดี มีโลกทัศน์ปกติ เจ้าชอบหยิ่งผยองขนาดไหนนั่นก็คือเรื่องของเจ้า! ดังนั้นจึงตอบนางกลับไป “ใช่แล้ว! ไปนานหน่อย รู้สึกราวกับออกไปครึ่งเดือนเลย!”
มุมปากอิ่นเสวี่ยรั่วยกขึ้น เหมือนกับยิ้มน้อยๆ
ทักทายกันเรียบร้อย เสี่ยวซิงกำลังจะลากมู่จิ่วเข้าเรือนไปดื่มชา พลันหันหน้าไปเห็นด้านหลังยังมีคนประสานแขนเสื้อมองนางไม่หยุด จึงอดถามไม่ได้ “นี่คือใคร?”
“อ้อ ซ่างกวนสุ่น” มู่จิ่วหันไปมองเล็กน้อย จากนั้นก็ชี้ไปทางเรือนตะวันออก เอ่ยว่า “ซ่างกวนสุ่นอยู่กับอาฝูแล้วกัน”
“อะไรนะ?!” ซ่างกวนสุ่นกำลังจะทำท่ารังเกียจใส่ มู่เสี่ยวซิงกลับชิงกระโดดขึ้นมาก่อน “ลานบ้านของพวกเรายังมีคนมาอีก?!”
และยังเป็นนกเหม็นโฉ่ที่มองนางเป็นลูกเจี๊ยบอีกด้วย? เข้าใจผิดหรือไม่? มู่จิ่วคิดจะเปลี่ยนลานจื่อหลิงนี่เป็นสวนสัตว์หรือ!
“นี่ กระต่าย เจ้าต้องรังเกียจแขกขนาดนี้เลย?” ซ่างกวนสุ่นประท้วงขึ้นมา “สถานที่โกโรโกโสของพวกเจ้าเช่นนี้ ห้องครัวของบ้านพวกเราห้องเดียวยังใหญ่กว่า หากไม่ใช่เพราะข้าต้องสืบคดีเขาเนินอาราม เจ้าเชิญข้าข้าก็ไม่มา!”
พูดจบก็หมุนตัวเข้าเรือนทางตะวันออกไป
ถึงแม้อาฝูจะมีคำสั่งของมู่จิ่วอยู่ แต่เห็นอาณาเขตถูกครอบครอง ก็ยังอดไม่ได้เดินตามเข้าไป
แต่ละคนกลับเรือนตนเองไป ลู่ยาต้องการอาบน้ำ เสี่ยวซิงรินชาให้มู่จิ่ว มู่จิ่วเลี่ยงไม่ได้ที่จะถามเรื่องหลายวันที่ผ่านมานี้
ทั้งหมดนับว่าดี แต่ก็ยังมีการก่อกวน
เสี่ยวซิงพูด “เจ้าไปวันที่สอง คนแซ่หยางก็มาหาเรื่องถึงที่แล้ว ขวางอยู่หน้าประตูจนแม้แต่ข้าจะไปฟ้องที่หน่วยจัดการเรื่องทั่วไปก็ยังไปไม่ได้ ภายหลังแม่นางอิ่นกลับมา ด่าทอนาง จากนั้นก็พูดว่าจะไปแจ้งที่หน่วยให้จางเหยี่ยนซิงจวินมาจัดการ คนแซ่หยางจึงค่อยยอมจากไปพร้อมกับพูดด่า”
“นางช่างไม่ยอมวางมือจริงๆ” มู่จิ่วพูด ก่อนถาม “อาฝูไม่อยู่หรือ?”
“เขาน่ะ พอเจ้าออกไป ทุกวันก็เอาแต่หมอบอยู่บนเตียงเจ้า นอกจากตอนกินข้าวแล้วก็ขดตัวอยู่ไม่ยอมย้ายที่ ตอนคนแซ่หยางมาเขากำลังกรนอยู่ในห้อง ภายหลังข้ากับคนแซ่หยางทะเลาะกันเขาถึงออกมา แต่ในมือคนแซ่หยางกลับมีกระบี่อยู่ เขาก็เลยไม่กล้าเข้าไป”
เสี่ยวซิงทำหน้าตึงบ่นอาฝู
ไม่กล้าเข้าไป?
มู่จิ่วรู้สึกสงสัย นางเห็นด้วยตาตนเองตอนที่อาฝูต่อกรกับมู่หรงหลิวเย่ เพียงแค่ความสามารถนั้นของเขา ถึงคนแซ่หยางถือกระบี่มาสักสิบคนก็ต่อกรกับเขาไม่ได้กระมัง? ทำไมถึงได้กลัวกระบี่ด้ามเดียวของคนแซ่หยาง? แต่เสี่ยวซิงไม่พูดโกหกแน่ เช่นนั้นหรือว่าความสามารถของเขาต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมพิเศษถึงจะแสดงออกมาได้?
ทางนี้เพิ่งพูดจบ นอกประตูพลันมีเงาร่างขาวก้าวเข้ามา ลู่ยามาแล้ว
ต่อมาอาฝูกับซ่างกวนสุ่นก็วิ่งตามกันมา
ที่พูดว่าวิ่ง นั่นเป็นเพราะอาฝูกำลังไล่ตาม น่าสงสารองค์ชายเจ็ดซ่างกวนที่ปกติเป็นคนองอาจทระนง แต่ต้องเข้าไปจับแขนเสื้อลู่ยา หลบอยู่ข้างหลังเขาอย่างไม่คิดชีวิต
อาฝูหมอบอยู่บนพื้น มองดูซ่างกวนสุ่นที่โผล่ศีรษะครึ่งเดียวออกมาจากหลังลู่ยา ในลำคอยังส่งเสียงคำราม
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่จิ่วยืนขึ้นมา
ซ่างกวนสุ่นพูด “ข้าเพียงเก็บกวาดกระดูกที่อยู่บนเตียงออกไปเท่านั้น เขาก็คำรามใส่ข้า!”
“ใครให้เจ้าไปยุ่งกับกระดูกของเขา? อาฝูเขาชอบเอาของกินไปไว้ในรัง” เสี่ยวซิงเหลือบมองเขาอย่างอารมณ์ไม่ดี
เรื่องราวยุ่งวุ่นวายของคนในบ้าน นางไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว