ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 99
“สกปรกไปแล้ว!” ซ่างกวนสุ่นเด้งตัวขึ้นมา “จะนอนกันอย่างไร?”
“เจ้านอนบนพื้นก็หมดปัญหาแล้ว?” เสี่ยวซิงหน้านิ่ง หอบชุดผ้าห่มโยนให้เขา
เขาถูกยอกย้อนจนพูดไม่ออก ครั้นมองดูอาฝู เจ้าเสือขาวก็เอียงหัว บนใบหน้ามีความได้ใจ
มู่จิ่วยืนขึ้นมา “พวกเจ้าตามสบายนะ ข้าต้องไปที่หน่วยอีก”
หลิวจวิ้นเพิ่งกลับมาที่หน่วยพอดี กำลังรินชาแหงนหน้าดื่ม
มู่จิ่วมาถึงก็ร้องเรียกเขา ทำให้เขาเกือบสำลักจนปอดหลุดออกมา!
“เจ้าเด็กบ้า เจ้าคิดจะแย่งตำแหน่งข้าหรือ!” หลิวจวิ้นรับผ้าเช็ดหน้าที่นางส่งมาให้ด้วยความฉุนเฉียว มองนางอย่างโกรธเคืองคราหนึ่ง
มู่จิ่วหัวเราะคิกคักพลางนั่งลงตรงโต๊ะหนังสือฝั่งหนึ่ง พูดว่า “ข้ามารายงานความคืบหน้าในการไปชิงชิวครั้งนี้” พูดจบ นางก็นำม้วนคดีที่จัดการเสร็จแล้วเมื่อคืนส่งให้เขา แล้วกล่าวเสริมรายละเอียดอีกเล็กน้อย “จากปากคำของจิ้งจอกน้อย คนที่สังหารเขาเป็นคนของสวรรค์ และยังเป็นไปได้ว่าจะเป็นซิงจวินสักคน ไม่รู้ว่าใต้เท้ามีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยคนนี้หรือไม่?”
เขาเป็นเทพอาวุโสบนสวรรค์แล้ว เป็นธรรมดาที่จะรู้ชัดกว่าคนมาใหม่อย่างนางมาก
แต่หลิวจวิ้นไม่ได้ตอบในทันที หลังจากพลิกดูเนื้อหาในหน้ารายงานที่นางเขียนมาแล้ว เขากลับเอ่ยอย่างสงสัย “ในเมื่อมู่หรงรุ่ยเจี๋ยสูญเสียจิตจิ้งจอกไปแล้ว ทำไมยังฟื้นขึ้นมาได้?”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบชัดเจน เหล่าจิ้งจอกเก้าหางก็เหมือนไม่รู้ชัดเช่นกัน” มู่จิ่วพูด ช่วงเวลานั้นนางกำลังสลบไสลอยู่พอดี จิ้งจอกน้อยฟื้นขึ้นมาก็บอกว่าตื่นอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ นางไม่ได้ใส่ใจจะสืบค้นเรื่องนี้ เพียงแต่เมื่อสังเกตดูจากความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของลู่ยากับราชาจิ้งจอกแล้ว เรื่องนี้สักแปดส่วนต้องเกี่ยวพันกับลู่ยา
หลังจากไปชิงชิวครั้งนี้ ยามพบเรื่องที่ไม่เข้าใจหรือน่าตกใจ ตอนนี้นางล้วนเคยชินกับการเพ่งเล็งไปที่ลู่ยาเสียแล้ว
ความจริงที่เขาแสดงออกให้เห็นต่างจากสิ่งที่มู่จิ่วรับรู้มาก ก่อนหน้าตอนอยู่ที่สวรรค์ยังไม่รู้สึก แต่เมื่อกลับมาจากการเดินทางซึ่งคล้ายการผจญภัยคราวนี้ ในสายตาของนางทั้งร่างเขาราวกับเต็มไปด้วยปริศนา
พูดง่ายๆ คือ ท้ายที่สุดแล้วเขากับจิ้งจอกเฒ่าจะมีความสัมพันธ์กันพิเศษหรือไม่นั้นไม่สนใจได้ แต่เรื่องฐานะอย่างไรนางก็ต้องทำให้ชัดเจน
หลิวจวิ้นปิดม้วนคดีลง ขมวดคิ้วนิ่งสงบอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ในเมื่อเกี่ยวพันกับสวรรค์ เช่นนั้นยากจะรับประกันเรื่องกำแพงมีหู เรื่องที่เกิดขึ้นที่ชิงชิวแม้แต่ตัวอักษรเดียวเจ้าก็ห้ามแพร่งพรายออกไป ส่วน ‘ซิงจวิน’ ที่เจ้าพูดถึง ข้าจะคอยช่วยเจ้าสอดส่อง ตัวเจ้าเองระวังอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นพอ”
เขาไม่ได้สอบถามเรื่องจิ้งจอกน้อยตื่นขึ้นมาให้ลึกลงไป คิดแล้วประสบการณ์เขาคงมาก เรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านี้คงเห็นมาเยอะแล้ว จึงไม่ทำให้ตกใจ
“ขอบคุณใต้เท้าที่เตือน” มู่จิ่วพยักหน้า ก่อนพูดอีก “ใช่แล้ว ซ่างกวนสุ่นก็ตามพวกเรากลับมา เขาคิดจะสืบสวนเรื่องคดีบนเขาเนินอารามไปด้วย และยังอยู่ด้วยกันกับอาฝู ดังนั้น…”
“นั่นเป็นเรื่องของพวกเจ้า!” หลิวจวิ้นพูด “สรุปคือในสามเดือนนี้เจ้าแค่คลี่คลายคดีที่ว่าให้ข้าก็พอแล้ว เมื่อเช้าคนของวังโตวลวี่ก็มาอีก พวกผู้เฒ่านี่จับจ้องพวกเราอยู่ตลอด กลัวว่าเราจะอู้งาน!”
คิดแล้วก็โกรธ ฝาถ้วยชาในมือถูกเขาบีบจนแหลกไป
มู่จิ่วรีบพูด “เช่นนั้นข้าไปแล้ว!”
ออกจากระเบียงทางเดิน มุ่งตรงไปยังประตูใหญ่ เดินผ่านสวนเห็นไม้ดอกหลากสีสันอยู่เต็ม จึงอดไม่ได้นึกถึงครั้งแรกที่เข้าหน่วยแล้วพบเจอกับสายตาเย็นชาของหลิวจวิ้น รวมทั้งหลินเจี้ยนหรูที่ช่วยนางจากวงล้อมและยังกระซิบพูดคุยกับนางที่นี่ ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าเขากลับมาหรือยัง?
ในใจคิดแบบนี้ จึงก้าวเท้าขึ้นกลับหอวิหคแดง ตรงไปลานสนเขียวทางทิศตะวันออก
ตอนนี้เป็นเวลาเข้ากะ ในลานบ้านเงียบสงบอย่างมาก
มู่จิ่วมาที่นี่น้อยนัก นางดูในลานบ้านก่อนเคาะประตู “มีใครอยู่หรือไม่?”
เงียบไปครู่หนึ่ง หน้าต่างเรือนของหลินเจี้ยนหรูเปิดออกเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวเหี่ยวแห้ง และหลังจากสายตาปะทะเข้ากับมู่จิ่ว หน้าต่างนี้ก็ปิดลงทันใด!
“หลินเจี้ยนหรู?”
มู่จิ่วไม่รู้ว่าตนเองจำผิดหรือไม่ แต่ใบหน้านั้นทำให้นางตกใจ นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนมุ่งเดินไปทางทิศใต้ ยื่นมือไปผลักประตู แต่มันกลับลงกลอนไว้!
“หลินเจี้ยนหรู เปิดประตู!”
มู่จิ่วตบบานประตู ไม่รู้ทำไมนางถึงแน่ใจว่าคนข้างในคือหลินเจี้ยนหรู! ไม่เจอกันไม่กี่วัน ทำไมเขาถึงซูบผอมขนาดนั้น? เกิดอะไรขึ้นที่สำนักแรกพยับ? นางร้อนใจอยากรู้
เสียงตะโกนร้องดังต่อเนื่องอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดประตูก็เปิดออก หลินเจี้ยนหรูยืนยิ้มให้นางอยู่ตรงประตู “เจ้ามาได้อย่างไร”
รอยยิ้มนี้ของเขากลับทำให้นางเปลี่ยนสีหน้า! หลินเจี้ยนหรูที่แต่ก่อนสดใสกระปรี้กระเปร่า เหมือนสนเขียวที่ตั้งตรงไม่โค้งงอ แต่เขาในตอนนี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว? แก้มที่แต่ก่อนสมบูรณ์กลับซูบตอบลงไป รอบดวงตาทั้งสองมีเงาดำใหญ่โอบล้อม ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนตาย…แม้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นร่างยังโอนเอน!
“นี่เจ้าเป็นอะไร?” มู่จิ่วรีบเข้าเรือน ยื่นมือไปจับชีพจรเขา
เขาชักมือออกไป พูดว่า “ไม่มีอะไร แค่โต้รุ่งหลายคืนเท่านั้น”
“โต้รุ่ง?” ฮ่า คิดว่านางเป็นเด็กสามขวบหรือ? นางไม่พูดพร่ำทำเพลงจับแขนเขาไว้ มือหนึ่งจับชีพจร การตรวจดูครั้งนี้ทำให้นิ้วของนางเกือบหลุดจากข้อมือเขา! มีพลังแข็งแกร่งขุมหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในร่างของหลินเจี้ยนหรู พุ่งเข้ามาจนนางที่ไม่ได้เตรียมรับมือป้องกันไว้ไม่ทัน!
พูดกันตามปกติ พลังของคนผู้หนึ่งจะเพิ่มตามการบำเพ็ญหรือค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นโดยทั่วไปจะไม่ปรากฏเหตุการณ์สูญเสียการควบคุมพลังฤทธิ์ให้เห็น แต่พลังนี้ในร่างกายของหลินเจี้ยนหรูราวกับเป่าลูกโป่ง ในเวลาไม่กี่วันกลับเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า พลังบำเพ็ญอันน้อยนิดของเขาจะควบคุมได้อย่างไร?
พลังบำเพ็ญควบคุมพลังฤทธิ์ไม่ได้ มันจึงเคลื่อนไหวส่งเดชไปมาทุกทิศในร่าง สุดท้ายก็กลายเป็นเหมือนกระแสพลังที่หมุนวนในใจกลางพายุ กลืนกินเลือดลมในตัวเขาไป รูปร่างที่เหมือนกับศพเดินได้เกิดจากการผลสะท้อนกลับของพลังนี่!
“ทำไมเจ้าถึงมีพลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้?” มู่จิ่วผลุงตัวยืนขึ้นมา
“เจ้าไม่ต้องถาม” หลินเจี้ยนหรูยืนขึ้น บางทีการเคลื่อนไหวอาจจะรุนแรงไป ตอนเขาหมุนตัวจึงยังโงนเงน
มู่จิ่วเดินไปข้างหน้า มองเขาแน่นิ่ง “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าที่สำนักแรกพยับ?”
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่ต้องถาม!” อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน ร่างกายจึงล้มลงไปกับพื้น รูจมูกมีเลือดไหลออกมาสองสาย เขาพลิกกายขึ้นนั่งให้ดี ยกมือขึ้นลูบหน้า มองจุดด่างดำที่หลังมือ จากนั้นมองดูนางที่ยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ค้ำยันเก้าอี้ลุกขึ้นมา “ขอโทษ”
เขาไม่อยากใส่อารมณ์กับนาง
ในโลกใบนี้ นางเป็นคนหนึ่งที่เขาไม่คิดจะหยาบคายใส่ที่สุด
แต่เขาก็ไม่ยินยอมให้นางเห็นตนเองในสภาพดูไม่ได้แบบนี้ นี่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองตกต่ำและสกปรก ไม่มีหนทางเยียวยา
“หากข้าไม่ถาม จากนั้นก็ดูเจ้าถูกพลังกลืนกินจนตายเช่นนี้หรือ?” มู่จิ่วโกรธบ้างแล้ว มือขวาเร็วดุจสายฟ้า พริบตาเดียวก็สกัดจุดบนร่างเขาเจ็ดแปดจุด “บอกข้ามาก่อน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มิฉะนั้นข้าจะส่งเจ้าไปหาใต้เท้าหลิว ให้เขาตรวจสอบชีพจรของเจ้าอย่างชัดเจน!”
หลินเจี้ยนหรูขยับไม่ได้ ยืนอยู่ระหว่างอากาศกับนางอยู่นาน ก่อนจะหลุบตาลง