ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 266 บ้านพักของใคร?
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอยากหลอมทีละชิ้น?” มู่จิ่วพูด
“เป็นไปไม่ได้” ลู่ยามองป่าไผ่ที่ไหวไปตามลมพลางเอ่ย “หลอมวิญญาณของหกภพเป็นเรื่องที่เปลืองแรงอย่างมาก คนธรรมดาทั่วไปทำไม่ได้ จินเซียนอย่างอาจารย์ของเจ้า ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดหลอมวิญญาณได้หนึ่งดวงก็ไม่เลวแล้ว หากไม่มีของวิเศษอันสูงส่งช่วย ก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถหลอมกายทิพย์ที่บริสุทธิ์ได้ ตอนนี้หากเขาคิดหลอมวิญญาณเซียน ต้องหลอมด้วยกันกับวิญญาณอื่น มีเพียงแบบนี้เท่านั้นถึงประหยัดแรงได้”
มู่จิ่วก้มหน้าครุ่นคิด
วิญญาณเซียนยังไม่มีการเคลื่อนไหว หากเป้าหมายของคนผู้นั้นมีเพียงวิญญาณสองประเภทนี้ คิดตามคำพูดของลู่ยา นั่นชัดเจนว่าไม่ใช่ต้องการทำลายล้างหกภพแล้ว
เช่นนั้นเขาทำเพื่ออะไร?
ลู่ยาเคยสงสัยว่ามีใครแอบวางแผนในใจ และตอนนี้หากนำคดีของเหลียงจีและคดีก่อนหน้านี้มาเชื่อมโยงกัน อาจมีเงื่อนงำบางอย่าง ไม่ว่าเป้าหมายของคนผู้นี้คืออะไร อย่างน้อยตอนนี้เขากำลังวางแผนหลอมวิญญาณเซียนและวิญญาณร้ายที่บริสุทธิ์ อย่างน้อย เขาคงคิดจะใช้วิญญาณเซียนและวิญญาณร้ายทำอะไรบางอย่างกระมัง?
“เข้าไปดูก่อนค่อยว่ากัน”
ตอนนี้ลู่ยาเก็บหินที่มีแสงเรืองรองสองก้อนเข้าไว้ในอก จากนั้นเดินไปข้างใน
ตอนนี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ ถึงแม้แสงอาทิตย์ส่วนมากถูกป่าไผ่บดบัง แต่ยังมีแสงไม่น้อยทะลุผ่านใบไผ่ลงมา หินริมลำน้ำส่องสว่างไปตามทางน้ำไหล ป่าไผ่สองฝั่งน้ำก็ยืดยาวไปอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปโค้งแล้วโค้งเล่า เดินไปแบบนี้ไม่รู้ว่ากี่ลี้ ไม่รู้ว่าถึงที่ไหนแล้ว จึงค่อยเห็นสะพานสีขาวเล็กๆ เหนือลำน้ำ
มู่จิ่วหยุดเท้าหันกลับไปมอง ก่อนพูด “แปลกนัก ในเมื่อหินเหล่านี้กับป่าไผ่เป็นสิ่งของของปรโลก ทำไมพวกมันกลับอาบแสงอาทิตย์ได้? หนำซ้ำที่นี่ยังเต็มไปด้วยพลังหยาง ยังสัมผัสพลังหยินไม่ได้เลย”
“นี่เป็นความพิเศษของหินเจ็ดแสง” ลู่ยาหยุดออยู่ที่ใต้สะพานหินเล็ก ก่อนกล่าว “หินเจ็ดแสงสะสมวิญญาณร้าย แต่มันก็เคยได้รับการเหลียวแลจากหนี่ว์วา และเคยเป็นตัวเลือกสำหรับหินซ่อมแซมฟ้า วิญญาณร้ายได้มันรับไว้ ไหนเลยยังต้องกลัวแสงอาทิตย์? ส่วนไผ่เหล่านี้สูญสิ้นวิญญาณร้ายไปนานแล้ว ไม่ต่างอะไรจากดินโคลน ยิ่งไม่กลัวเป็นธรรมดา”
มู่จิ่วพยักหน้า จากนั้นเงยหน้าขึ้นก้าวข้ามสะพานนั้น
มือข้างหนึ่งของลู่ยาดึงนางกลับมา นางเข้าใจไปว่ามีกับดัก เขากลับพยักเพยิดชี้ไปยังด้านหน้า “ไม่ใช่ทางนี้” ก่อนพูดอีก “ตามหลังข้าก็พอแล้ว”
ที่แท้เขาไม่ได้คิดจะข้ามสะพานขาวนั้น แต่เดินเลียบริมลำน้ำต่อไป
ครั้นเดินไปเรื่อยๆ หินในแม่น้ำก็ค่อยๆ อับแสง กลายเป็นกองหินก้อนเล็กสีเทากลุ่มหนึ่งที่ไม่มีความพิเศษอะไร
“เกิดอะไรขึ้นอีก?” มู่จิ่วถาม
“วิญญาณร้ายในหินนี้ถูกใช้ไปหมดแล้ว นี่ก็แสดงว่ามีคนกำลังหลอมวิญญาณร้ายอยู่จริง” ลู่ยาเดินช้าๆ พูดเนิบนาบ “ด้านหน้ามีคนหรือสัตว์ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ พวกเราอำพรางกายก่อน” จากนั้นสะบัดเสื้อเซียนทอเมฆ ทันใดนั้นทั้งสามคนก็กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับท้องฟ้าและผืนดิน ไม่มีใครมองเห็นแล้ว
มู่จิ่วอดถามเขาไม่ได้ “วิญญาณเหล่านี้ใช้ทำอะไรได้บ้าง?”
เรียกเทพมังกรหรือ?
“ใช้ควบคุมดวงชะตาของชีวิตต่างๆ ในแต่ละภพได้ วิญญาณร้ายสามารถจำกัดหรือแม้กระทั่งทำให้ชะตาชีวิตในปรโลกเสียหาย เฉกเช่นวิญญาณเทพก็สามารถควบคุมภพเทพ วิญญาณเซียนสามารถควบคุมภพเซียน หากรวมครบทั้งหกวิญญาณก็ควบคุมฟ้าดินได้แล้ว” ลู่ยาย่ำหินเลียบข้างลำน้ำไป “แต่ความเป็นไปได้นี้ก็ยังน้อยมาก เพราะวิญญาณที่แท้จริงของหกภพถูกเฝ้าระวังอยู่ที่คลื่นจิตพสุธา”
“เช่นนั้นทำไมเขายังต้องหลอมวิญญาณร้ายล่ะ?” มู่จิ่วถามต่อ
“ถึงแม้วิญญาณร้ายที่หลอมมาไม่อาจใช้แทนวิญญาณร้ายดั้งเดิมได้ แต่มันก็หลอมมาจากวิญญาณร้าย รวมเข้ากับวิญญาณห้าประเภทที่เหลือ ถึงแม้ไม่อาจทำลายล้างฟ้าดิน ก็ยังมีกำลังสังหารอยู่ระดับหนึ่ง”
มู่จิ่วนับว่าเข้าใจคร่าวๆ แล้ว
เดินไปข้างหน้าตามทางได้สิบกว่าลี้ พลังวิญญาณที่เคลื่อนไหวก็มากขึ้นตามคาด ปลายสุดของสายตาค่อยๆ โล่งกว้าง เมื่อเดินไปจนสุดทาง กลับเห็นเพียงด้านหน้ามีภูเขาหินอยู่ ต้นกำเนิดลำน้ำก็สิ้นสุดตรงจุดที่ห่างจากตีนภูเขาไปสามจั้ง มีน้ำพ่นออกจากตาน้ำขนาดฝ่ามือ ที่นี่ไม่มีทั้งเรือนและถ้ำ เซียนและมารก็ไม่มี!
“นี่มันเรื่องอะไร?” ซื่ออินหมุนตัวมองไปรอบๆ สะกดสีหน้ากังวลที่เกิดขึ้นตลอดทาง
ลู่ยากำลังจะพูด ด้านมู่จิ่วครุ่นคิดอยู่สองวินาที พลันหยิบยันต์วิเศษออกมาจากกำไลไม้สี่แผ่น ใช้พลังปราณกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ หลังจากร่ายรำราวกับหงส์ ทิศทั้งสี่ก็ถูกแปะไว้ด้วยยันต์วิเศษทันที
ยันต์วิเศษลอยอยู่กลางอากาศ ทิวทัศน์ทั้งสี่ด้านค่อยๆ ปรากฏออกมา กำแพงเขียวกระเบื้องดำ เรือนหรูหราสร้างจากวัสดุมีค่า ไม้ค้ำยันชายคา ทุกชุ่นทุกฉื่อ ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพบ้านที่สมบูรณ์หลังหนึ่ง
“คาถาสยบมาร? เจ้ามีสิ่งนี้ได้อย่างไร?” ลู่ยาละสายตามามองมู่จิ่ว ในดวงตาปรากฏแววประหลาดใจ
“อาจารย์ข้าสอนมา!” มู่จิ่วหยิบยันต์ขึ้นมาอีกแผ่นหนึ่งอย่างภาคูมิใจ เงยหน้าแปะไว้กลางอากาศเหนือหัวเขา
ทันใดนั้น พวกเขาไม่เพียงอยู่ในเขตพักอาศัยที่สวยงามหลังหนึ่ง แต่รอบด้านยังมีเซียนหญิงรับใช้เพิ่มมาอีกไม่น้อย เหล่าเซียนหญิงรับใช้ล้วนเป็นร่างมนุษย์ แต่ร่างเดิมกลับเป็นเสือลายเหลืองทั้งหมด!
คราวก่อนกลับไปหงชาง หลิวหยางสอนยันต์วิเศษให้นางไม่น้อย ยังสอนวิชาแยกแยะเขตแดนอันตรายให้นางมากมาย แต่ก่อนพลังวิญญาณของนางไม่พอ พลังบำเพ็ญไม่ลึกล้ำ จึงเรียนไม่ได้ แต่ปีกว่าในสวรรค์ นางไม่เพียงได้รับพลังวิญญาณมามากมายเหนือความคาดหมาย ยังได้รับพลังบำเพ็ญหนึ่งพันปีที่จิ้งจอกแดงให้มาเปล่าๆ ทำให้เพียงพอต่อการควบคุมวิชา
แต่ลู่ยากลับยังมองนางอย่างล้ำลึก ไม่เพียงเขาที่เป็นแบบนี้ แม้แต่ซื่ออินก็สงสัยไม่น้อย
“เป็นอะไร?” นางถาม
ลู่ยาคลายสีหน้าลง ก่อนตอบ “ไม่มีอะไร”
จากนั้นหันหน้ามองไปรอบๆ
ทั้งสี่ด้านไม่ต่างจากวังทั่วไปเลย นอกจากสวนป่าอาคารสร้างได้งดงามยิ่งกว่า และนอกจากเสือลายเหลืองเต็มสวนนี้แล้ว ที่เหลือก็มีเพียงท้องฟ้าที่พลันมืดลงจนทำให้รู้สึกประหลาดใจ
ภายในสวนอาศัยเพียงโคมส่องสว่าง
“นี่ต้องเป็นสถานที่พักร้อนของเซวียนหยวนฮุ่ยแน่!” ซื่ออินมองแถวอาคารที่เรียงลึกเข้าไปสุดสายตาหลังช่องประตู ในคำพูดเจือความประหลาดใจ “หรือคนที่แอบหลอมวิญญาณคือเซวียนหยวนฮุ่ย และเหลียงจีมาล้างแค้นเขาจริง?”
ลู่ยารวมสมาธิฟังเสียงรอบด้าน จากนั้นหยักนิ้วทำสัญลักษณ์มือแล้วเอ่ยขึ้น “นี่เป็นบ้านที่สร้างอยู่ใต้ผิวน้ำ น้ำนี้เป็นน้ำที่นำมาจากแม่น้ำแห่งความตาย สถานที่นี้เป็นที่หลอมวิญญาณร้าย ห่างจากหนานเซียงเพียงสองพันกว่าลี้ เซวียนหยวนฮุ่ยอยู่ในวัง ในระหว่างหนึ่งวันจะมาสักสองสามครั้งก็ทำได้ เหลียงจีน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเดินผ่านประตูทรงกลมไปทางทิศเหนือ
สถานที่พักร้อนนี้ที่แท้อยู่แนวเหนือจรดใต้ ยิ่งเดินไปทางเหนือแสงสว่างยิ่งอับแสง และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็ยิ่งมีมากขึ้น ตอนแรกเซวียนหยวนฮุ่ยก็นิสัยเปลี่ยนไปมากจึงทรมานอู่เจิน ต้องเป็นเพราะฝึกฝนสายมารบางอย่างแน่ อีกทั้งลำน้ำจากแม่น้ำแห่งความตายอันแปลกประหลาดนี้ หินเจ็ดแสง รวมถึงบ้านเรือนล้วนแผ่พลังทะมึนที่ยากจะบรรยายออกมา สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าเซวียนหยวนฮุ่ยเดินเข้าสู่สายมารแล้ว
และบ้านพักนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นบ้านที่ให้เหลียงจีอยู่?
………………………………………………