ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 274 โชคร้ายที่สุด
จื่อจิ้งกุมก้นก่อนลุกขึ้นมาจากพื้น กำลังคิดจะหาที่ซ่อน ไหนเลยจะรู้ว่าในห้องยังมีคนอยู่ เขาเงยหน้ามองไป มองครั้งนี้ดวงตาเกือบหลุดจากเบ้า “เป็นเจ้า!”
คำพูดอะไรลู่ยาก็ไม่อยากพูดแล้ว หน้าตึงดึงอีกฝ่ายเข้ามาในมือ และยื่นนิ้วทั้งห้าอีกข้างเรียกไฟสมาธิออกมา เตรียมจัดการให้เป็นผุยผง
บนโลกนี้คงไม่มีของหรือเรื่องอะไรที่ทำให้เขาไม่พอใจได้เท่ากับกระดิ่งเวรนี่แล้ว คราวก่อนปล่อยมันไป ครั้งนี้กลับกล้ามาทำเรื่องดีๆ ของเขาเสียอีก อย่าคิดว่าเขาจะปล่อยมันไป!
จื่อจิ้งตกใจ เขาไหนเลยจะคิดว่าเทพผู้ชั่วร้ายอยู่ที่นี่? เห็นลู่ยาตรงเข้ามาหมายจะทำให้ตนเองตายอย่างไม่มีลูกหลานสืบทอด ก็รีบพูด “ข้าบอกท่านไว้นะ ข้าได้รับคำสั่งจากเซิ่งจุนรองมา! หากท่านทำข้าเสียเรื่อง ข้าจะกลับไปฟ้องเรื่องท่าน!”
ลู่ยายิ้มเย็นเผยให้เห็นฟัน “เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวหรือ?”
จื่อจิ้งสะอึก ก่อนพูดอีก “แบบนั้นข้าจะไปตีกลองกงกง! จะไปฟ้องกับท่านอาจารย์ผู้ก่อตั้ง!”
“เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้ากลับไปถึงสวรรค์หรือ?” ลู่ยากัดฟันแน่น
ครั้งนี้จื่อจิ้งลนลานจริงๆ แล้ว
ไม่ว่าเรื่องอะไรคนผู้นี้ล้วนทำได้หมด รับประกันได้ยากว่าจะไม่ลงมือ!
ไม่ใช่แค่ทำให้เขาล้มหัวคะมำไม่กี่ที ตกหลุมไม่กี่ครั้งเท่านั้นเองหรือ ทำไมถึงแค้นเคืองจื่อจิ้งไม่เลิก!
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นเขานอนหลับอยู่ที่วังจิตกระจ่างดีๆ เป็นตัวลู่ยาเองที่มือสั่นทำเขาตกเสียหายแล้วโดนคำสาปจากตัวเขา นี่จะโทษใครได้?
คราวก่อนเกือบเผาเขาจนเป็นเถ้า ยังคิดจะเอาอย่างไรอีก?!
“หาให้ทั่ว ดูว่าใครลอบเข้ามา!”
ตอนนี้ประตูห้องพลันถูกเปิดออก มู่หัวพาศิษย์น้องหลายคนเข้ามา
จื่อจิ้งรีบเกาะแขนลู่ยา “รีบอำพรางข้า! มิฉะนั้นแล้วข้าจะตะโกนออกไปว่าท่านอยู่ที่นี่!”
ลู่ยาถลึงตาใส่เขา อยากซัดมือจัดการเขาให้จบๆ ไป แต่คิดดูแล้วถึงแม้มือเท้าไวขนาดไหน ก็ไม่แน่ว่าอาจมีพลังวิญญาณรั่วไหลออกไป จึงหยุดมือไว้
มู่หัวเป็นซ่านเซียนแล้ว และมีพลังบำเพ็ญล้ำลึก เซียนปีศาจทั่วไปอำพรางร่างย่อมหนีไม่พ้นสายตาเขา แต่ตอนนี้ลู่ยาปลดปล่อยฐานะเทพของตัวเองแล้วอำพรางตัวอยู่ในห้อง ดังนั้นพวกเขาจึงหาไม่เจอแม้แต่น้อย
กลุ่มคนเข้าๆ ออกๆ หลายรอบ ทั้งลองแทงกระบี่สังหารจิตก็ไม่พบอะไรประหลาด จึงพากันถอยออกไป
จื่อจิ้งร่วงลงมาจากร่างลู่ยา ถอนหายใจพลางพูด “ข้าเจอท่านแล้วโชคร้ายที่สุดจริงๆ เลย”
สายตาคมกริบของลู่ยากวาดมองไป จื่อจิ้งโชคร้าย? ยังมีหน้ามาพูด!
“ในเมื่อโชคร้ายขนาดนี้แล้ว แบบนั้นมิสู้โชคร้ายให้พอ!” ลู่ยาคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขา ดึงเขาขึ้นมากลางอากาศ พลางเดินออกไปข้างนอกพร้อมเอ่ย “ช่วงนี้ข้าว่างอย่างมาก ไม่รังเกียจที่จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”
จื่อจิ้งดิ้นรนพลางพูด “ท่านไม่ถามว่าข้ามาทำอะไรก็หาเรื่องข้าแล้ว?”
ลู่ยาหยุดฝีเท้า ถึงได้นึกออกว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งพูดอะไรบางอย่าง บอกว่าเขารับคำสั่งของหุนคุนมา จึงถามขึ้น “เจ้ามาทำอะไร?”
จื่อจิงกลอกตา “ท่านพูดก่อนว่าท่านมาทำอะไร?”
ลู่ยายกเขาเดินออกไปข้างนอก
“เอาละ เอาละ ข้าพูด ข้าพูด!” จื่อจิ้งโกรธกริ้วอย่างมาก “ท่านปล่อยข้าลงก่อนสิ!”
ลู่ยาไม่ปล่อย
หน้าตาเขาไม่พอใจ พูดอย่างเกลียดชังว่า “คราวก่อนท่านพาคนที่มีสัมพันธ์อันดีด้วยคนนั้นกลับมา เซิ่งจุนเคยเห็นนาง เพราะท่านบอกว่าพลังในร่างนางบริสุทธิ์ และยังฝึกพลังสายเสวียนหลิง จึงสงสัยว่าอาจารย์ของนางเป็นสายของสำนักพวกเรา”
ลู่ยาเหลือบมองเขา ไม่หวั่นไหวแต่อย่างใด
หุนคุนเป็นต้นกำเนิดพลังสายเสวียนหลิง เหล่าศิษย์ในสำนักถึงตอนนี้มิใช่ว่ามีถึงพันหมื่นแล้วหรือ? ถึงแม้เป็นสำนักสายพลังเสวียนหลิงก็ไม่มีอะไรพิเศษ สิ่งสำคัญคือเขาอยากรู้ว่าหลิวหยางคือใคร?
จื่อจิ้งทำได้เพียงพูด “เซิ่งจุนสงสัยว่าเขาเป็นศิษย์พี่จุ่นถี”
“จุ่นถี?”
ลู่ยาได้ยินสองคำนี้ถึงนับได้ว่ามีปฏิกิริยา
เขาไม่ได้ยินชื่อนี้มากี่ปีแล้ว!
ตั้งแต่เจียอิ่นเต้าเหรินกลับไปเวียนว่ายตายเกิดเป็นพระพุทธเจ้า รับช่วงต่อเปลี่ยนลัทธิประจิมเป็นศาสนาพุทธแล้ว จากนั้นชื่อเสียงของเจียอิ่นเต้าเหรินก็โด่งดังขึ้นทุกวัน ชื่อของจุ่นถีเต้าเหรินเริ่มไม่มีคนกล่าวถึง กระทั่งหลายหมื่นปีมานี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน มีคนกล่าวว่าเขาตายไปในสงครามกับเจียอิ่นเต้าเหรินครั้งนั้น มีคนกล่าวว่าเขากลับเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิด และยังมีคนกล่าวว่าเขาถูกเจียอิ่นเต้าเหรินขังไว้กลางบึงพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อ)
การแก่งแย่งระหว่างพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไม่ว่าใครในสวรรค์อันสูงส่งก็ไม่เหมาะจะช่วย ตอนแรกหุนคุนหว่านล้อมด้วยคำพูด ภายหลังใช้กฎของสำนักตำหนิ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าถูกหรือผิด คนหนึ่งเพื่อรักษาลัทธิ รักษาความหมายของคำสอนแต่เดิมไว้ อีกคนต้องการแนวทางใหม่ เพื่อสร้างตรรกะความคิดของศาสนาพุทธให้ยิ่งสมบูรณ์ จะกดดันผู้ใดก็ใช่ที
จนกระทั่งเกิดสงครามนั้น เจียอิ่นเต้าเหรินชนะ และจุ่นถีกลับไม่รู้หายไปไหน นี่ก็เป็นเหตุผลที่ภายหลังหุนคุนไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในสำนักอีก จุ่นถีคือศิษย์คนโตของเขา เจียอิ่นคือศิษย์คนที่สอง สูญเสียใครไปล้วนเหมือนถูกตัดแขนตัดขา และคนที่หายไปกลับเป็นจุ่นถี ถึงกับทำให้จวบจนทุกวันนี้เขาไม่เคยรับศิษย์อย่างเป็นทางการอีก ยินยอมใช้ชีวิตปลูกผักจะดีกว่า
“พวกเจ้าคิดถึงเขาได้อย่างไร?”
“ความจริงสงสัยนานแล้ว!”
จื่อจิ้งเบะปากเหลือบมองเขา ราวกับมองคนโง่ “แต่ก่อนซุนหงอคงเคยเรียนวิชาอยู่ที่เขาฟางชุ่น ตอนนั้นกราบไหว้ผูถีจู่ซือเป็นอาจารย์ เซิ่งจุนสงสัยว่าผูถีจู่ซือเป็นร่างแปลงของจุ่นถีเช่นกัน”
“แต่ตอนเขาไปหา กลับพบว่าภูเขาฟ่างชุ่นไร้ซึ่งผู้คนแล้ว อีกทั้งภูเขาฟ่างชุ่นก็ห่างจากที่นี่ไม่กี่ร้อยลี้ หลิวหยางคนนี้ปิดซ่อนได้มิดชิดแบบนี้ ไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผูถีหนีจากภูเขาฟ่างชุ่นมาซ่อนตัวที่นี่หรอกหรือ?”
ผูถีก็คือจุ่นถี?
ลู่ยาครุ่นคิด เขาไม่เคยเจอผูถีมาก่อน แต่ในความทรงจำเคยได้ยินหุนคุนพูดถึง
แต่พูดถึงจุ่นถี…เขาพลันนึกถึงไม้เท้าเทพในขวดก่อนหน้านี้ ปีนั้นจุ่นถีตีทงเทียนเจี้ยวจู่ลงไปในขุยหนิว สิ่งที่ใช้คือไม้เท้าเทพศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งที่ถูกผนึกในขวดซึ่งเขาเห็นเมื่อครู่คือไม้เท้าเทพศักดิ์สิทธิ์?
แบบนั้นต้นไม้เจ็ดอัญมณีกับไผ่หกสัมผัสของเขาล่ะ?
“ปีนั้นศิษย์พี่จุ่นถีดีต่อท่านนัก ท่านกลับลืมเขาจนสิ้น!” จื่อจิ้งยิ่งดูถูก
ลู่ยาถลึงตาใส่เขาอีก จากนั้นหมุนตัวเดินไปบนภูเขา
อายุของจุ่นถีกับเขาห่างกันไม่มาก ปีนั้นปฐมวิญญาณเก็บเขาจากดอกบัวได้ก่อน จากนั้นไม่กี่หมื่นปี จุ่นถีที่เป็นวิญญาณก่อนกำเนิดสวรรค์ก็ใช้ร่างเด็กทารกจุติมาขึ้นเขา ตอนนั้นหุนคุนศึกษาบรรลุพอดี ปฐมวิญญาณจึงให้หุนคุนรับเขาเป็นศิษย์ ส่วนตอนนั้นลู่ยาก็เพิ่งบำเพ็ญได้เป็นเด็กคนหนึ่ง
ตอนนั้นบนโลกยังไม่มีคน รอบด้านล้วนเป็นวิญญาณต้นกำเนิดในจักรวาล การเป็นลูกศิษย์หลานศิษย์ของปฐมวิญญาณ พวกเขาไม่เพียงมีคนน้อย แต่ไม่ว่าเดินทางไปที่ไหนก็ล้วนได้รับความเคารพ ด้วยเวลาว่างมีมากนัก จึงค่อยๆ ทำให้ลืมเรื่องรุ่นจนกลายเป็นเพื่อนเล่นกัน ตอนนั้นนิสัยของเขาน่ารัก…ไม่สิ จนถึงตอนนี้นิสัยเขาก็น่ารัก พวกหุนคุนล้วนยอมลงให้เขา ดังนั้นจุ่นถีที่ต่ำกว่าขั้นหนึ่งจึงยิ่งยอมลงให้เขา
เขาเป็นอาจารย์ของอาจิ่วจริงหรือ?
ขณะกำลังสงสัย ฝีเท้าของเขาก็ยิ่งเร็วขึ้น ครั้นกลับไปถึงบนภูเขา ทุกอย่างเหมือนดังเก่า
เขาใช้พลังโบกไปยังต้นพลับใหญ่นั้น เห็นเพียงต้นไม้พลันส่องสว่างไปรอบๆ กลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สูงราวจั้ง! ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แตกออกเป็นเจ็ดกิ่ง แต่ละกิ่งเต็มไปด้วยดอกบัวเขียวครามมากมาย บัวแต่ละดอกเคลื่อนไหวไปตามลมเหมือนกังหันลมน้อยๆ…
“ต้นไม้เจ็ดอัญมณี!”
จื่อจิ้งหลุดปากร้องออกมา “เป็นศิษย์พี่จุ่นถีจริงๆ!”
สีหน้าลู่ยาบึ้งตึง เก็บพลังวิญญาณกลับมาก่อนเดินต่อไปยังห้องสนครวญ
……………………………………………………