ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 275 ก่อเรื่องแล้ว!
เซียนเต่านอกลานสนครวญแบกไม้ขนไก่งีบหลับ เขาไม่เหมือนกับเซียนเต่าทั่วไป ชอบยืดขายาว ใช้กระดองเต่าเป็นหมอนอิง แหงนหน้าพิงกำแพง หันหน้าผึ่งแดดอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ระเบียงทางเดิน
ลู่ยาเดินมาถึงหน้าป่าไผ่นอกหน้าต่าง กระตุ้นใช้พลังฤทธิ์อีกครั้ง พริบตาเดียวป่าไผ่นั้นกลายเป็นไผ่สามปล้อง!
“ไผ่หกสัมผัส!”
จื่อจิ้งชี้ไปที่เขาก่อนตะโกนขึ้นมา
เซียนเต่าที่ระเบียงทางเดินตกใจตื่น ไม้กวาดใต้แขนยาวตั้งขึ้นมา ดวงตาลุ่มลึกคู่หนึ่งพลันกะพริบ จื่อจิ้งกำลังจะลากลู่ยาวิ่งหนีไป ต้นไผ่เต็มภูเขาพลันหายไปทั้งหมด!
เมื่อพวกเขามองดูรอบกาย ตรงหน้าไหนเลยจะยังมีลานบ้านกำแพงล้อมรอบ? เซียนเต่าขายาวนั้นหายตัวไปแล้ว ชายคาไม่มีให้เห็นอีก ร่างคนก็ล้วนหายไป ทั้งหุบเขาตอนนี้เหมือนกับไม่เคยมีคนอยู่มาก่อน หลงเหลือเพียงต้นไม้ผืนหญ้าแต่แรกเริ่มเท่านั้น! พริบตาเดียวกลับไม่เหลือร่องรอยแม้เศษเสี้ยว พวกเขาถอยจากไปแบบนี้!
“จุ่นถี!”
ลู่ยาโคจรพลังปราณตะโกนเรียกไปทุกทิศ รอบด้านเงียบสงัดเหมือนยามค่ำคืน ในรัศมีพันลี้ไม่มีแม้เงาคน
“ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน เขาตกใจหนีไปแล้ว!” จื่อจิ้งต่อว่าเขา
ลู่ยาถลึงตาใส่ จากนั้นมองบนภูเขาอีก แล้วพลันหันไปขี่เมฆ
จื่อจิ้งตามหลังเขามาพร้อมกล่าว “ท่านจะไปไหน? พาข้าไปด้วย!”
ลู่ยาฟาดสายฟ้าลงไปสายหนึ่ง เบื้องหลังตามมาด้วยเสียงสบถด่าชุดใหญ่
กลับมาถึงสวรรค์ มู่จิ่วยังไม่กลับจากหน่วย คนในบ้านล้วนไม่อยู่
ลู่ยาตรงเข้าเรือน รินชาดื่มไปสองถ้วย ก่อนหวนนึกถึงเรื่องเมื่อสักครู่ ในสับสนวุ่นวายไม่หยุดราวกับทะเลคลั่ง คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ของมู่จิ่วคือจุ่นถี ที่แท้จุ่นถีหายตัวหลายหมื่นปี ไปสั่งสอนศิษย์อยู่ที่ซีหนิว มู่จิ่วเป็นศิษย์ของจุ่นถี มิใช่ว่าเขากลายเป็นอาจารย์อาของมู่จิ่วหรือ?
ช่างมันเถอะ สำคัญคือเขาทำให้จุ่นถีตกใจหนีไปแล้ว อีกทั้งเขายังพาลูกศิษย์หลานศิษย์หนีไปด้วย คราวนี้มู่จิ่วจะกลับไปไหน? หากนางรู้ว่าเขาทำให้อาจารย์ของนางตกใจหนีไปแล้ว นางจะถลกหนังเขาหรือไม่?
เป็นความผิดของเจ้ากระดิ่งสมควรตายนั่น!
แต่เดิมเขาเพียงคิดไปสำรวจและแอบสืบฐานะของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้กลับก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จากนี้ไปเกรงว่านางจะเอาเรื่องเขาไม่หยุด
คิดถึงตรงนี้เขารีบขัดสมาธินั่งลงไป กระตุ้นค่ายกลวิญญาณ คลุมแหสวรรค์ตาข่ายพสุธา ตามหาร่องรอยของจุ่นถี
แต่ตามหาทั้งเก้าทวีปสี่ทะเล กลับไร้ร่องรอย!
…จริงสิ เขาลืมไปว่าเขาไปหงชางแรกๆ หลายครั้งก็ไม่ค้นพบเลยว่าหลิวหยางคือจุ่นถี หลิวหยางซ่อนตัวได้หลายปีขนาดนี้แต่ไม่เคยมีคนจับได้มาก่อน ต้องสำเร็จวิชาอำพรางกายนานแล้วแน่
แรกเริ่มนั้นถึงแม้เริ่มฝึกบำเพ็ญเกือบจะพร้อมกัน แต่เขาเป็นศิษย์สายตรงของปฐมวิญญาณ เป็นต้นกำเนิดของพลังสายเสวียนหมิง มีวิถีเต๋าของอาจารย์คุ้มครอง ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งลึกซึ้งกว้างไกล เป็นเรื่องปกติที่จะเก่งกว่าจุ่นถีมาก คิดไม่ถึงว่าหลายปีนี้จุ่นถีกลับมุ่งมั่นตั้งใจเช่นนี้ บนผืนฟ้าใต้พิภพแม้แต่เขากับหุนคุนก็ถูกหลอก มิน่ามู่จิ่วพูดถึงหลิวหยางถึงได้ชมไม่ขาดปาก
ปีนั้นยามเขากับเจียอิ่นเต้าเหรินร่วมกันก่อตั้งลัทธิประจิมก็เป็นเทพชั้นสูงแล้ว หลายปีนี้เร้นกายไม่โผล่หน้า คิดดูแล้วคงยิ่งก้าวหน้าขึ้น
พูดแบบนี้ เกรงว่าคราวก่อนเขาไปหงชาง หลิวหยางก็คงพบเขาแล้ว
ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถสืบหาเรื่องชาติก่อนของมู่จิ่วได้
ลู่ยาลูบหน้า บรรยายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจุ่นถีต้องแอบซ่อนตัวจากพวกเขา โทษว่าปีนั้นพวกเขาไม่ช่วยปกป้องลัทธิประจิมหรือ?
หรือเป็นเพราะยังฝังใจเรื่องที่แพ้เจียอิ่นเต้าเหรินในสงครามครั้งนั้น?
หรือว่ากำลังวางแผนร้ายอะไรอยู่…ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้
เดิมทีก่อนไปหงชาง ลู่ยาสงสัยว่าเขามีแผนการอื่นหรือไม่จริง แต่อย่างไรมู่จิ่วก็ฝึกบำเพ็ญมาได้สองพันปีแล้วกลับขาดบุญกุศล แบบนั้นภายในสองพันปีนี้ทำไมเขาไม่ให้นางลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์? ทำไมไม่ให้นางไปกำราบมารกำจัดปีศาจ?
แต่ตอนที่ลู่ยาพบว่าหลิวหยางอาจเป็นจุ่นถี ความสงสัยนี้พลันมลายหายไปทันที เพราะหากเขามีแผนอื่นจริง ครั้งก่อนหลังจากเจอลู่ยาขึ้นภูเขา เขาต้องหายไปแล้ว คงไม่รอจนถึงตอนรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
จุ่นถีต้องไม่อยากให้พวกเขาหาตัวพบ
…จบกันแล้วตอนนี้ หลบซ่อนครั้งนี้ ไม่รู้ผ่านไปกี่หมื่นปีเขาถึงจะโผล่หน้าออกมาอีก มู่จิ่วคงไม่ถึงขนาดไม่กลับไปเยี่ยมที่ภูเขาหลายหมื่นปีหรอกกระมัง?
“อาจารย์ ข้าจะไปซื้อผักกับเสี่ยวซิง ท่านอยากกินปลาหรือไม่ขอรับ?”
รุ่ยเจี๋ยยืดตัวเข้ามาถาม
เขามองท้องฟ้าคราหนึ่ง ก่อนตอบ “ข้าไปกับเจ้าดีกว่า”
นางใกล้กลับมาแล้ว เขารู้สึกใจฝ่อ ออกไปเดินสักหน่อยค่อยกลับมาว่ากัน
หลายวันมานี้มู่จิ่วยุ่งอยู่กับงานเลี้ยงลูกท้อ ไหนเลยจะมีกำลังเหลือมาสนใจว่าเขาไปไหน?
หลิวจวิ้นเป็นผู้บัญชาการกองอารักขาสั่งการทหารดูแลงานเลี้ยงลูกท้อ การงานที่ผ่านมือทุกวันไม่ต่ำกว่าร้อยเรื่อง หน้าที่ของมู่จิ่วคือแบ่งประเภทและจัดการงานเหล่านี้ แบ่งตามระดับความสำคัญและความเร่งด่วนแล้วจึงรายงานแก่เขาหรือเลื่อนไปก่อน เทียบเท่ากับเป็นเลขานุการติดตามตัว
ดีที่หลายวันนี้นางประสานงานกับกองต่างๆ จนคุ้นเคย รู้ว่าเมื่อบันทึกมาถึงมือแล้วควรทำอย่างไรกับมัน
แน่นอน ตอนหลิวจวิ้นยุ่งอารมณ์ก็ร้ายไปด้วย คำด่าทอก็ได้ยินไม่น้อย แต่หากเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา มีใครไม่เคยได้รับการอบรมว่ากล่าวบ้างเล่า?
นางไม่ถูกด่าทอก็เป็นเรื่องหาได้ยากมากแล้ว
หลังจากเลิกงานกลับบ้าน ทุกวันเหนื่อยจนต้องเอนกายพักผ่อนถึงสามารถกินข้าวได้
แต่ช่วงนี้ลู่ยาเอาใจใส่อย่างมาก ทั้งรินชาส่งน้ำ ขาดเพียงไม่ได้บิดผ้าเช็ดหน้าทุบนวดขาให้ ดูแลปรนนิบัตินางราวกับราชา ทำให้นางเกือบเกิดข้อกังขาว่าเขาอาจนอกใจ หากไม่ใช่คิดได้ว่าหลายวันนี้เขาไม่ได้ออกไปข้างนอกแต่อย่างใด นางคงต้องคุยกับเขาจริงๆ แล้ว
ในที่สุดงานเลี้ยงลูกท้อก็ใกล้เข้ามาถึง ภายใต้การกำกับบัญชาอย่างคล่องแคล่วของหลิวจวิ้น งานของหน่วยอารักขาเตรียมพร้อมไว้อย่างดีแล้ว
ก่อนหน้างานเลี้ยงหนึ่งวันมู่จิ่วก็ลาดตระเวนตามปกติ ช่วงเช้าลาดตระเวนหนึ่งรอบ สนทนากับองค์หญิงรองเหมยอิงที่ริมสระหยกอยู่ชั่วครู่หนึ่ง นางเห็นว่าสายแล้ว จึงปัดๆ เสื้อเตรียมกลับบ้านกินข้าว
เดินมาได้ครึ่งทางพลันนึกได้ว่าลืมของทิ้งไว้ที่ห้องทำงาน จึงได้แต่หมุนตัวกลับไป ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อมาถึงประตูลาน กลับเห็นเด็กน้อยเกล้าผมจุกที่สูงเพียงครึ่งตัวนาง เกาะกรอบประตูพลางยืดหัวเข้าไปสืบเสาะข้างใน
มู่จิ่วสงสัย ไม่รู้เซียนเด็กบ้านไหนมาส่งข่าว จึงร้องทักออกไป “เจ้ามาหาใครหรือ?”
เซียนเด็กผู้นั้นได้ยินก็พลันหมุนตัวมา มองนางหัวจรดเท้า ก่อนยิ้มตาหยีเอ่ยทักทายนาง “เจ้าคือกัวมู่จิ่ว?”
มู่จิ่วตะลึงงัน คิดว่าเด็กซนมาจากไหน เรียกชื่อเต็มยศแต่แรกพบหน้านี่เหมาะสมแล้วหรือ? ดีร้ายนางก็เป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ แม้แต่เซียนหญิงรับใช้ประจำกายหวังมู่ยังไม่เคยเรียกนางแบบนี้เลย
แต่นางไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กซุกซน ก้าวเข้าไปในห้องพลางเอ่ย “เจ้ามาทำอะไร? ตอนนี้เป็นเวลาพัก หากต้องการทำธุระก็ให้มาแต่เช้า ผู้ปกครองบ้านเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือ?”
จื่อจิ้งตามเข้ามา มองไปรอบๆ ก่อนพูด “ไม่ได้บอกข้า”
มู่จิ่วเข้ามาในห้องแล้วเก็บของไป จากนั้นจึงถาม “เจ้ามาทำธุระอะไร?”
………………………………………………………