ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 280 สวัสดีหงอคง
ปกติต่อหน้าผู้คน ยูไลจะตรงไปตรงมาและเคร่งขรึม แต่พูดคุยส่วนตัวกับคนใกล้ชิดยังคงผ่อนคลาย
แต่บางทีหลายปีมานี้อาจเป็นครั้งแรกที่มีคนถามคำถามเรื่องศิษย์ร่วมอาจารย์ ยูไลจึงเงียบ ก่อนเอ่ย “ศิษย์กับศิษย์พี่ถึงแม้ต่อสู้กัน แต่ไม่ถึงขั้นเคียดแค้นเอาชีวิต ศิษย์พี่จุ่นถีหัวแข็ง ข้าพนันกับเขา ผู้ใดชนะผู้นั้นเป็นผู้นำของลัทธิประจิม”
“เขามั่นใจในวิชาดูดวิญญาญของเขามาก ผลคือภายหลังข้าชนะเขาเพียงเล็กน้อย สุดท้ายก็หาเขาไม่เจอแล้ว เพราะเรื่องนี้ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่กล้าไปพบหน้าอาจารย์ ข้าเดาว่าจุ่นถีต้องขัดเกลาวิชาดูดวิญญาณของเขาต่อแน่ วิชาเซียนนั้นร้ายกาจอย่างมาก ปีนั้นหากไม่ใช่เพราะข้าได้เปรียบจากอำนาจพระพุทธ คงยังไม่แน่ว่าจะชนะ”
“วิชาดูดวิญญาณนั้นคือวิชากลืนดาวที่ก่อนหน้านั้นเขาใช้พลังฟ้าดินฝึกสำเร็จที่ภูเขาไท่หังใช่หรือไม่?” ลู่ยาถาม
“ใช่” ยูไลพยักหน้า “แต่ตอนอยู่ที่ภูเขาไท่หังเป็นเพียงแค่ขั้นเริ่มต้น ภายหลังข้ากับศิษย์พี่ขี่เมฆไปยังตะวันตก เขาผ่านการตื่นรู้ทางวิญญาณหลายหน ดังนั้นจึงมีพละกำลังขึ้นมาก ตอนสงครามทงเทียนเจี้ยวจู่เขาเคยใช้วิชานี้ผนวกกับของวิเศษ แต่วิชาทั้งหมดของวิชาเซียนชุดนี้ อาจารย์อาคงไม่เคยเห็นมาก่อน”
วิชาเซียนต่อสู้เป็นวิชาที่มีพลังมาก ยามไม่มีสงครามมักไม่นำออกมาใช้ ไม่เคยเห็นมาก่อนจึงเป็นเรื่องปกติ
ลู่ยาพยักหน้า จิบเหล้าไม่ตอบคำ
ยูไลถามต่อ “อาจารย์อาถามเช่นนี้ มีความนัยอื่นหรือไม่?”
“ไม่มี” ลู่ยาวางถ้วยลง “เพียงเจอเจ้าจึงนึกถึงเขาขึ้นมา หลายปีมานี้ไม่เจอเขา ข้าก็คิดถึงอยู่บ้าง”
ยูไลครุ่นคิด “ข้าเพียงเคยได้ยินว่าปีนั้นเขาเคยอยู่ที่เขาฟางชุ่น”
ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่น้องแต่เดิมแน่นแฟ้นเพียงนั้น ภายหลังกลายเป็นแบบนี้จึงกระอักกระอ่วนยิ่ง แต่เรื่องทำนองนี้จะพูดอย่างไรดี ความคิดไม่เหมือนกัน ช้าเร็วย่อมต้องขัดแย้งกัน ถึงแม้เขาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาสามารถควบคุมได้
“ข้าก็รู้ แต่” ลู่ยามองไปด้านหน้าไกลๆ “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องเร้นกาย”
มู่จิ่วออกจากศาลาน้ำมาแล้ว ก็เหมือนนกบินออกจากกรง รีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีคนมาก
งานเลี้ยงลูกท้อนี้เหมือนกับงานเลี้ยงใหญ่ของดาราโทรทัศน์ในชาติก่อน เทพเซียนมากมายที่แต่ก่อนเคยได้ยินเพียงชื่อล้วนมาปรากฏตัว เช่นปี้เสียหยวนจิน หลี่เทียนหวังผู้ครองเจดีย์ ไท่ป๋ายจินซิง มหาเทพตงเยวี่ย มหาเทพตงหัว หยางเจี่ยน (เทพเอ้อร์หลาง) ผู้มีรูปร่างโดดเด่นใบหน้าหล่อเหลา เด็กซนนาจาที่ถือหอกผูกผ้าแดงเท้าเหยียบกงล้อไฟ ยังมีกวนอิมแห่งทะเลใต้และอื่นๆ
ผู้คนกำลังจับกลุ่มกันสองคนบ้างสามคนบ้างพูดคุยเรื่องเก่าแก่ ไม่มีคนสังเกตเห็นนาง แต่สวรรค์สำหรับนางแล้วเป็นสถานที่คุ้นเคย ดังนั้นจึงเดินเล่นได้ไม่เบื่อ
กำลังจะข้ามสะพานไปด้านตรงข้ามดื่มเหล้าชั้นเลิศ พลันมีคนผู้หนึ่งมาขวางทางนาง “เจ้าเป็นใคร?”
คนผู้นี้สูงใหญ่บึกบึน รูปร่างเป็นทรงสามเหลี่ยมกลับหัวสมบูรณ์แบบ ผมรวบเป็นมวย สวมจีวร แต่จีวรของผู้อื่นล้วนพาดเฉียงอยู่บนร่าง ของเขากลับพันอยู่อย่างหยาบๆ ใต้อาภรณ์ปรากฏแผ่นอกและกล้ามเนื้อแปดส่วนรางๆ และผ้าด้านล่างก็พันอยู่ครึ่งหนึ่งที่รอบเอว เผยให้เห็นกางเกงสีดำส่วนหนึ่งและรองเท้าหนัง
มู่จิ่วสำรวจเขาจากบนลงล่างจนเสร็จ สุดท้ายมองหน้าเขา ใบหน้านี้ก็ดูดีไม่เหมือนใคร คิ้วดกตาโต คางคมกริบเหมือนใบมีด สิ่งที่คู่ควรให้กล่าวถึงที่สุดคือดวงตาคู่นั้นที่ทั้งโตและกระจ่าง ทำให้ดูไปแล้วเขาสดใสเหมือนดวงอาทิตย์ แต่น่าเสียดายก็แต่ดวงตากลับเป็นสีแดง…เหมือนกับดวงตากระต่าย
นางรู้สึกว่าน่าหัวเราะ “ท่านพระโพธิสัตว์ขวางทางข้าน้อย แต่กลับถามว่าข้าน้อยคือผู้ใด?”
คนผู้นี้กอดอก เหลือบมองต่ำดูนาง “ข้าคือซุนหงอคง”
ให้ตายเถอะ!
มู่จิ่วเกือบตกใจล้มลงไปแล้ว
เขาคือซุนหงอคง!
พุทธะพิชิตชัยซุนหงอคง!
นางรีบจับราวสะพานยืนตรง กลืนน้ำลายก่อนมองเขา วานรตัวนี้กลับก้มตัวลงมาจ้องนาง “เจ้าบำเพ็ญพลังสายเสวียนหลิง และเจ้าวิชาเรียนที่ซีหนิวใช่หรือไม่?”
ใช่แล้วอย่างไร? มู่จิ่วมองหน้าวานรที่อยู่ห่างจากนางเพียงฉื่อเดียว ไม่รู้เลยว่าควรตอบเขาอย่างไร
เทียบกับเทพอย่างอวี้ตี้และหวังหมู่แล้ว ในสายตาของมนุษย์ ซุนหงอคงถึงจะยิ่งเหมือนตำนานมากกว่า! สำคัญคือวานรตนนี้ได้รับการยอมรับจากผู้คนมาก ตำนานหลากหลายเกี่ยวกับเขาล้วนเคยปรากฏ รูปภาพและงานสลักของเขาละเอียดลออและหลากหลายจนเกินกว่าเทพเซียนผู้อื่น จะว่าเขาเป็นราชาที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งในโลกเซียนก็ไม่นับว่าเกินไป!
ตอนนี้ราชาวานรตนนี้กลับปรากฏตัวตรงหน้านาง และยังมองทะลุถึงภูมิหลังของนาง น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่แล้วอย่างไรเจ้าคะ?” นางพยายามถามกลับไปอย่างสงบ
“อาจารย์ของเจ้าคือผูถีจู่ซือ?” ซุนหงอคงถามอีก
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” พอพูดมากเข้า มู่จิ่วก็ไม่สั่นกลัวแล้ว นางเอ่ย “อาจารย์ของข้าเป็นเพียงจินเซียนอาศัยอยู่ที่ภูเขาหงชางเท่านั้น ถึงแม้เขาจะเก่งกาจมาก แต่ก็ไม่ใช่โพธิสัตว์ผูถีจู่ซืออาจารย์ของท่าน และภูเขาฟางชุ่นที่ท่านเคยอยู่พวกเราก็ไม่เคยไปมาก่อน”
อันที่จริงภูเขาฟางชุ่นห่างจากหงชางไม่ไกล ตอนนั้นนางกับหลิวหยางก็ผ่านไปทางนั้นหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยพานางขึ้นไปมาก่อน ตอนที่นางพูดถึงเรื่องที่ผูถีจู่ซือถ่ายทอดวิชาแปลงเจ็ดสิบสองร่างแก่ซุนหงอคงด้วย เขาก็นิ่งเฉยตลอด ไม่ถือโอกาสนี้ขยายความเรื่องนี้ให้นางฟัง และไม่เคยพูดถึงตำนานเรื่องพุทธะพิชิตชัย สรุปคือไม่ใส่ใจ
ดังนั้นนางจึงไม่คุ้นเคยกับกับชื่อภูเขานี้จริง
“ไม่ใช่?” ซุ่นหงอคงยืดตัวขึ้น มองนางอย่างเคลือบแคลง “เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของผูถีจู่ซือ ทำไมเจ้าถึงมีกลิ่นอายของเขาบนร่าง?” พูดจบเขาก็จับข้อมือมู่จิ่ว ถอดกำไลไม้บนข้อมือนางออก ดึงของวิเศษกลุ่มใหญ่ออกมา จากนั้นพลันตกตะลึง ร้องตะโกนว่า “อาจารย์!”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปแล้ว!
ของวิเศษเหล่านี้ล้วนเป็นหลิวหยางให้มา เขาเรียกสิ่งของที่หลิวหยางให้มาว่าอาจารย์ได้อย่างไร?
นางลนลานเก็บของวิเศษทั้งหมดเข้าไปในกำไลไม้ มุมสายตาเหลือบไปเห็นหลิวจวิ้นที่เดินมาไม่ไกล จึงรีบกล่าว “ใต้เท้า ทางนี้เจ้าค่ะ!”
หลิวจวิ้นก็กำลังตามหานางอยู่ เจ้าเด็กสมควรตายนี่ซ่อนมหาเทพไว้ในบ้านแล้วหลอกเขาจนหัวหมุน เขาต้องถลกหนังนางให้ได้! ได้ยินเสียงนางเรียกก็รีบเข้าไปทันที เห็นซุนหงอคงปาดน้ำตาก็อดตกใจไม่ได้ รีบถาม “กัวมู่จิ่ว เจ้าทำอะไรกับท่านเทพซุน?”
มู่จิ่วเต็มไปด้วยความน้อยใจ นางจะทำอะไรเขาได้? ยกย่องนางเกินไปแล้วกระมัง!
ดีที่อารมณ์ของเขามาเร็วไปเร็ว เห็นหลิวจวิ้นเข้ามาก็รีบพูด “นางไม่ได้ล่วงเกินข้า” จากนั้นดึงขน หันหน้ามามอบให้มู่จิ่ว “ศิษย์น้องหญิง หากเจ้ากลับไปช่วยข้านำสิ่งนี้ให้อาจารย์ด้วย” พูดจบเขาก็ลูบหัวนาง ก่อนเดินไป
มู่จิ่วมองขนวานรในมือ ใกล้จะเป็นลมแล้ว!
หลิวจวิ้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้อง หลิวจวิ้นมองไปรอบๆ ลากนางไปใต้ต้นหลิว “กัวมู่จิ่ว เรื่องที่ลู่ยาเต้าจู่เป็นคู่หมั้นของเจ้า ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?! เจ้าจงใจปั่นหัวข้าเล่นงั้นหรือ? ตอนแรกข้าเกือบไล่เขาออกจากสวรรค์แล้ว! เจ้าบอกข้ามา เจ้าจงใจใช่หรือไม่!”
……………………………………………