ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 285 ความเก่งกาจของมหาเทพ
จื่อจิ้งอาละวาดกลางอากาศ “เจ้าคนโหดเหี้ยมอำมหิต! เจ้าตั้งใจจะรังแกข้าอย่างไรกันแน่?”
“ข้าเป็นคนให้เจ้าติดตามข้ามาหรือ?” ลู่ยาเลิกคิ้ว น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับลมหนาวพัดมา คิดรึว่าเขาทำอะไรจื่อจิ้งไม่ได้จริงๆ แค่จับจุดอ่อนเล็กๆ ของเขาได้มิใช่หรอกหรือ เท่านี้ก็คิดจะมาต่อกรกับเขาแล้ว ในเมื่อไม่กลัวตาย แบบนั้นก็ให้จื่อจิ้งตายเสียมากครั้งหน่อยแล้วกัน
จื่อจิ้งสำลักจนตาเหลือก แต่ก็ยังไม่ทันรอเขาพูดอออกมา ลู่ยาก็ขว้างเขาไปในทิศทางที่อาฝูลับตาไปราวกับก้อนดิน
“เจ้าคนสมควรตาย…จำไว้ก่อนเถอะ…”
เสียงด่าทอลอยมาตามลม ลู่ยาปัดๆ มือ เรียกราชาเสือขาวและคนอื่นที่อึ้งไปแล้ว “เข้าไปนั่งข้างในก่อนเถอะ”
ราชาเสือขาวรู้สึกตัว รีบพาพวกเขาเข้าไปในตำหนักชั้นใน
มีลู่ยามหาเทพผู้ยิ่งใหญ่คอยดูแล ถึงแม้ความกังวลยังคงอยู่ แต่บรรยากาศในวังก็ดีขึ้นมาก
ราชาเสือขาวส่งองค์ชายรองต๋าเจาไปที่แนวหน้าเพื่อสืบข่าว ทุกหนึ่งเค่อต้องกลับมารายงาน ราชินีและเหลียงจีก็เฝ้าชะเง้อมองไม่หยุดที่หน้าประตูใหญ่ ถึงแม้อยากรู้ข่าวแต่ก็กลัวมีข่าวมาเหมือนกัน
ราชาเสือขาวจัดวังแห่งหนึ่งให้ลู่ยาและมู่จิ่วพักผ่อน ในวังมีสองชั้น มู่จิ่วอยู่ชั้นบน
แต่นางไหนเลยจะนั่งติดได้? เพิ่งขึ้นไปข้างบนเดินวนหนึ่งรอบก็ลงมาแล้ว
เมื่อลงมาแล้วก็เดินวนไปมา วังนี้สร้างได้แตกต่างจากวังของทิวเขาริ้วหยกและทะเลสาบน้ำแข็งมาก แต่เหมือนกับวังจิ้งจอกแห่งชิงชิวหลายส่วน ทว่ามิได้หรูหราฟุ่มเฟือยเท่า เทียบกับวังจิ้งจอกแล้วใหญ่โตโอ่อากว่า สวนในวังก็ไม่มีรูปสลักมากนัก มีต้นไม้มากมายที่มู่จิ่วไม่เคยเห็นมาก่อน ดูไปแล้วคงเป็นของที่บรรพชนทิ้งไว้
ตอนนี้ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม ยังไม่เห็นมีข่าวที่มีประโยชน์มา นางกำลังจะออกไปข้างนอก เหลียงจีก็กลับเข้ามา “เจ้าขาวน้อยเข้าไปในค่ายกลแล้ว! ค่ายกลพันมารของพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหว!” นางหอบหายใจ แก้มซูบผอมทั้งสองข้างยามนี้ดูไปแล้วยิ่งขาวซีด สวมเสื้อเกราะอยู่บนกาย ดูไปแล้วบอบบางอย่างมาก
“พวกเราไปดูกันเถอะ!”
มู่จิ่วตบๆ มือนาง ร้องเรียกลู่ยา “พวกเราไปให้กำลังใจอาฝู!”
ลู่ยาจะปล่อยให้นางไปคนเดียวได้อย่างไร? พอพวกนางเริ่มก้าวออกประตูไป เขาก็ตามหลังไปทันที
ทิวทัศน์ภายใต้เมฆหมอกพร่าเลือน ไม่นานก็มาถึงด่านด้านเหนือที่รบราปะทะกัน
ทั้งสามหยุดบนป้อมประตูเมือง ถึงได้พบว่าราชาเสือขาวกับอวี๋เหิงตามมาแล้ว
เมื่อเห็นลู่ยามาถึง ราชาเสือขาวเอ่ย “ราวก่อนหน้านี้สองเค่อ เจ้าขาวน้อยเข้าไปในค่ายกลมารแล้ว เซียนรับใช้ที่มากับเซิ่งจุนก็ตามเข้าไปด้วย เซิ่งจุนคาดเดาได้แม่นยำ ค่ายกลนี้พลังหยินสูง หลังจากเจ้าขาวน้อยเข้าไปภายใน ค่ายกลมารของพวกเขามีท่าทีอ่อนกำลังลงทันที เพียงแต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าด้านในค่ายกลเป็นอย่างไร”
มู่จิ่วมองลอดรั้วไปไกลๆ เห็นเพียงนอกเมืองเป็นพื้นที่ขนาดราวห้าหกร้อยลี้เป็นที่ราบกับเนินเขาเตี้ยทั้งหมด ตอนนี้เนินเขาถูกครอบครองโดยทัพทหารของศัตรู ธงที่ปักตัวอักษรเซวียนหยวนสองตัวกับหัวเสือลายเหลืองหลายผืนกำลังโบกสะบัดไปตามลม เมฆดำบนฟ้าลดต่ำลงมา ลมหนาวพัดบนยอดเขาฝั่งตรงข้ามเป็นระลอก บางครั้งบางคราวกลิ่นคาวเลือดก็ลอยมาตามลม
มองเห็นบนพื้นที่นอกประตูเมืองซึ่งกว้างเกือบร้อยลี้ เป็นเงาดำของกลุ่มคน เงาคนและเงาเสือปะปนเข้าด้วยกัน ซับซ้อนยากจะแยกแยะได้ชัดเจน เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างไร้รูปแบบ ลึกลับยิ่งนัก เสียงคำรามของเสือลอยมาบ่อยครั้ง ฟังไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเสียงไหนคืออาฝู เสียงไหนคือเสือลายเหลือง แต่กลางค่ายกลกลับได้ยินเสียงกระดิ่งเล็กๆ ลอยแว่วมา นี่คงเป็นเสียงของจื่อจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถึงแม้ค่ายกลนี้ทำลายได้ยาก แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองยังไร้อุปสรรค”
ลู่ยาหยักนิ้วทำนาย คล้อยหลังจากที่เขาพูดคำนี้ พวกเขาก็สบายใจขึ้น
ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าของเขาไม่กังวลเลย ราวกับแน่ใจแล้วว่าอาฝูต้องชนะ
ถึงแม้มู่จิ่วก็หวังให้เขาชนะเป็นที่สุด แต่อย่างไรเขาก็เป็นเสือน้อยที่นางเลี้ยงดูมาเกือบสองปี ปกติอย่างมากก็แบกนางเดินไปทั่ว ประมือกับคู่ต่อสู้รุ่นเล็กบ้าง เคยพบเจออันตรายเยี่ยงนี้เสียเมื่อไหร่? นางย่อมต้องกังวลเป็นธรรมดา
ผ่านไปแบบนี้สักครู่ ขบวนทหารนอกเมืองเริ่มเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว หากบอกว่าค่ายกลก่อนหน้านี้ถือว่าสงบนิ่งมั่นคง เช่นนั้นตอนนี้กลับเห็นได้ชัดว่าเสียกระบวน…
คล้อยหลังเสียงกระดิ่งแหลมสูงกลางอากาศ ด้านตะวันออกเฉียงใต้มีช่องโหว่เปิดออกมาก่อน จากนั้นตรงกลางค่ายกลพลันปรากฏลำแสงสีขาวออกมาหลายสาย ทันใดนั้นด้านตะวันออกและตะวันตกก็มียันต์วิเศษแผ่นใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ!
ต่อมาเสือขาวขนาดจั้งกว่าพลันกระโดดขึ้นมากลางอากาศ กวาดไปทั้งสี่ทิศราวกับสายฟ้า พริบตาเดียวก็ได้ยินเพียงเสียงคำรามของเสือดังสะเทือนแก้วหูดุจถล่มภูเขาล่มทะเล เสือลายเหลืองจำนวนมากกระเจิดกระเจิงออกมาทุกทิศประหนึ่งน้ำที่แตกกระเซ็นเพราะหิน ภายในเสี้ยววินาทีเดียว เลือดเนื้อลอยกระจายไปทั่ว พลังวิญญาณแตกซ่านไปทุกทิศ เศษร่างเสือทำให้สมรภูมิรบย้อมไปด้วยโลหิตและเนื้อ!
ตอนนี้ลมหนาวหายไปแล้ว แสงทองส่องทะลุรอยแยกเมฆดำบนฟ้า วิญญาณจำนวนมากส่งเสียงร้องภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง สุดท้ายกลายเป็นควันเขียวสายหนึ่งกลับคืนสู่ผืนดิน
“เซวียนหยวนฮุ่ยออกมาแล้ว!”
มู่จิ่วกำลังมองอย่างลุ้นระทึก ตอนนี้เหลียงจีที่จับราวรั้วแน่นกลับพลันจับจ้องบนภูเขาตรงข้าม ในดวงตาคู่งามระเบิดประกายไฟออกมา
มู่จิ่วจ้องมองกำลังทหารกองใหญ่ลงมาจากภูเขาราวคลื่นยักษ์ คนที่อยู่ท่ามกลางผู้ที่นำหน้ามาหลายคนสูงราวแปดฉื่อ นัยน์ตาขวาง รูปร่างเหมือนเจดีย์ดำ ควบอยู่บนแรดยาวสองจั้งตัวหนึ่ง เขากวัดแกว่งขวานคู่ ตะโกนสั่งการ จากนั้นนายพลสิบกว่าคนข้างกายก็นำเสือลายเหลืองหลายพันตัวมุ่งไปเสริมค่ายกลที่พังทลายลง!
“เซวียนหยวนฮุ่ย เจ้าคืนซื่ออินของข้ามา!”
มู่จิ่วยังไม่ทันได้สติ คล้อยหลังเสียงตะโกนเกรี้ยวกราด เหลียงจีระเบิดโทสะพลันกลายร่างเป็นเสือขาวพุ่งเข้าใกลางขบวน!
“เหลียงจี!”
“พระชายา!”
มู่จิ่วร้องตะโกน ขณะเดียวกันก็มีนายพลหลายคนถือกระบี่ขึ้นไปทันที แม้แต่ราชาเสือขาวก็ร้อนใจ อยากเข้าไปร่วมทัพเช่นเดียวกัน!
“ทำอย่างไรดี? พวกเขาจะเป็นอันตรายหรือไม่?” มู่จิ่วถามลู่ยาอย่างร้อนรน
ลู่ยาขมวดคิ้วตอบ “ค่ายกลนี้ทลายแล้ว เพียงพวกเขาสามารถควบคุมเซวียนหยวนฮุ่ยได้ ก็ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว”
มู่จิ่วกับราชาเสือขาวผ่อนคลายลง
นอกประตูเมืองตกเข้าสู่การการปะทะกัน อาฝูพุ่งเข้าฉีกศัตรูอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นายพลเสือขาวหลายนายแยกซ้ายขวาเพื่อปกป้องเขา ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมฟาดฟันกับศัตรู แต่เหลียงจีกลับพุ่งเข้าหาเซวียนหยวนฮุ่ยโดยตรง! นางเป็นลูกหลานของนายพล ตั้งแต่เด็กฝึกฝนการรบ ฝึกฝนวิชาต่อสู้ขั้นสูงมานานแล้ว แต่คู่มือของนางคือเซวียนหยวนฮุ่ย ศึกครั้งนี้กลับลำบากนัก!
“ข้าไปช่วยเหลียงจีได้หรือไม่?” มู่จิ่วถามลู่ยา
ลู่ยาตอบ “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา”
มู่จิ่วจึงทำได้เพียงอดกลั้น เลือกมุมที่เหมาะกว่าเดิมแล้วมองการรบ ตอนนี้ในสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงอีก ได้ยินเพียงเสียงเด็กกระจ่างชัดดังขั้นมากลางอากาศ “มารดามันเถอะ! สัตว์เดรัจฉานขนเหลืองหลายตัวก็กล้ามารังแกข้า! ไม่ให้พวกเจ้าได้รู้ถึงฤทธิ์เดชของข้า ก็นับว่ามาเสียเปล่าแล้ว!”
…………………………………………………………