ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 289 ผู้ชายของข้า
ในที่สุดลู่ยาก็ขึ้นไปหยุดอยู่ข้างอาฝู ขวางศัตรูแทนเขา แต่เขาไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด หรือสามารถบอกได้ว่าใช้พลังไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ทำเพียงปกป้องอาฝูโดยไม่โจมตีกลับ!
มู่จิ่วไม่เข้าใจทั้งยังร้อนใจ เพราะหลายครั้งแล้วที่มีคนเกือบทำร้ายเขาได้…แน่นอน นางเชื่อว่าไม่มีใครสามารถทำเขาบาดเจ็บได้ แต่นางร้อนใจ! หากเขาพลาดท่าเพราะมั่นใจมากเกินไปเล่า? หากเซวียนหยวนฮุ่ยนั่นยังมีแผนร้ายอื่นซ่อนอยู่อีกล่ะ?
เห็นงูแดงตัวนั้นสะบัดหางอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นก็พุ่งโจมตีช่วงเอวของเขา! มู่จิ่วทะยานเข้าไปด้วยอดทนไม่ได้อีก เงื้อดอกบัวทองในมือขึ้นสูงก่อนตัดหางงู เลือดของงูพลันสาดกระจายไปทั่วฟ้า ทำให้เสื้อสีเรียบของนางแดงฉานไปด้วยเลือด!
“เจ้าทำอะไร?!” ลู่ยาที่กำลังรับมือศัตรูเห็นนางอยู่ด้านข้าง รีบดึงนางไว้
มู่จิ่วชี้งูครึ่งตัวที่ดิ้นทุรนทุรายกลางอากาศพลางพูด “เจ้าเดรัจฉานนั่นจะลอบทำร้ายเจ้า!”
“มันทำอะไรข้าไม่ได้! อันตรายขนาดนี้เจ้าเข้ามาทำอะไร?!” น้ำเสียงเขาโกรธขึ้ง ทั้งยังผลักนางออกนอกวงล้อมเสือ “เจ้ากลับไป!”
มู่จิ่วโกรธจัด “ถึงเจ้าเก่งกาจมากอย่างไรก็ยังเป็นผู้ชายของข้า! ข้ารู้ว่ามันจะทำร้ายเจ้า จะให้ข้านิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร!”
ลู่ยาหลอมละลายกลายเป็นน้ำฤดูใบไม้ผลิในชั่วพริบตา เขาอุ้มมู่จิ่วกลับไปที่เดิมทันที ลูบใบหน้านางเล็กน้อยก่อนกลับไปยังสนามรบ
มู่จิ่วยังคิดจะพูดอะไรกับเขา แต่พริบตาเดียวเงาเขาก็หายไปแล้ว
เมฆดำบนหัวเดี๋ยวรวมตัวเดี๋ยวกระจาย ลู่ยายังคงรับมือเป็นหลัก แต่เสียงคำรามของอาฝูกลับยิ่งนานไปยิ่งกระชั้น พลังวิญญาณที่ปล่อยออกมาจากร่างเขายิ่งปั่นป่วนขึ้นทุกที
นางมองไปรอบๆ พวกเหลียงจีไม่รู้ไปไหนแล้ว จื่อจิ้งก็หายไป รอบด้านพลันเปลี่ยนไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ฟ้าดินเหมือนกำลังสั่นไหว! รีบเงยหน้ามองไปทางพวกลู่ยา กลับมีเพียงเมฆดำเคลื่อนไหวไม่หยุด มองไม่เห็นเงาคนเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเพียงเสียงเท่านั้น เสียงปะทะกัน เสียงของเหล่านายพลเสือขาว และเสียงเหลียงจีพูดคุยกัน ตอนพวกเขาพูดคุยกับนาง นางกลับไม่เห็นพวกเขา!
“ลู่ยา!”
นางหัวใจบีบรัด พลันร้องตะโกนออกมา
กลุ่มเมฆดำนั้นสลายไป แต่ก็กลับมารวมกันทันที
นางโดนกับดักแล้ว!
ต้องเป็นมนตร์คาถาของวิญญาณร้ายในมือของเซวียนหยวนฮุ่ยแน่!
นางกัดฟัน ใช้พลังวิญญาณกระตุ้นดอกบัวทองในมือ พุ่งจากพื้นราบขึ้นสู่ท้องฟ้า ตะโกนเสียงดังก่อนกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ แสงสว่างของดอกบัวทองสาดส่องไปทั่วทั้งจักรวาลในพริบตา เมฆดำสลายไปทีละน้อย คนที่เมื่อครู่หายตัวไปก็ค่อยๆ ปรากฏสู่ครรลองสายตา และตำแหน่งที่นางอยู่คือกลางกลุ่มเสือลายเหลืองพอดี!
เมื่อเห็นมู่จิ่ว เสือหลายร้อยตัวพากันทะยานเข้าหานาง ในชั่วพริบตาเดียว นางเหมือนกับดาวตกที่พุ่งลงสู่พื้น ในมือถือดอกบัวทองที่ลู่ยาให้ไว้ ตามหลักเหตุผลแล้วเสือหลายร้อยตัวนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนาง แต่โชคร้ายคือเวลานี้นางกลับพลันอ่อนเปลี้ยเพลียแรง!
ไม่เพียงไม่มีแรง ยังมีแรงดึงดูดที่ไร้ต้นสายปลายเหตุฉุดนางลงไปอีก!
เหล่าเสือลายเหลืองบดบังนางไว้ ลู่ยาที่เมื่อครู่เห็นนางทลายวิชาปีศาจได้ไม่ได้สนใจมากนัก ส่วนอาฝูปะทะกับเซวียนหยวนฮุ่ยจนถึงเวลาสำคัญแล้ว เขาคาดเดาว่ามู่จิ่วจะใช้ดอกบัวจัดการเสือเหล่านั้นให้ร่วงเป็นใบไม้
แต่ไม่เป็นเช่นนั้น!
มู่จิ่วร่วงลงไปข้างล่างเหมือนลูกเหล็กตกลงสู่น้ำ!
นางไม่มีแรงตอบโต้ และไม่มีแรงร้องตะโกน ทำได้เพียงแหงนมองสัตว์กระหายเลือดหลายตัวเหนือหัวง้างกรงเล็บกระโจนเข้าหาตนเอง
แต่พวกเขากลับทำไม่สำเร็จ เพราะนางร่วงลงไปข้างล่างไม่หยุด ราวกับด้านล่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด!
“กัวมู่จิ่ว!”
“แม่นางกัว!”
เสียงมากมายดังขึ้นตอนนางร่วงหล่นลงมา ทั้งยังมีเสียงอสุนีบาตหลายสายปะปนอยู่ด้วย แต่ร่างของนางยังคงร่วงลงไป ชัดเจนว่าสถานที่ที่นางต่อสู้กับเสือลายเหลืองห่างจากพื้นเพียงไม่กี่จั้ง ทว่านางร่วงหล่นอยู่นานก็ยังคงร่วงลงไปอยู่อย่างนั้น รอบด้านจากสว่างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมืด และยังเหมือนตกลงสู่อนธการอันไม่มีที่สิ้นสุด
“อาจิ่ว!”
ลู่ยาเคลื่อนตัวเหมือนกับแสงสายหนึ่ง พุ่งตามลงมา แต่ลงมาได้ไม่ไกลไหร่กลับไม่มีหนทางไปต่อ บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เขาทำไม่ได้ แต่ถึงแม้ลงไปที่พื้นแล้ว เขากลับหากลิ่นอายของนางไม่เจอแม้แต่เศษเสี้ยว! นางราวกับเข้าไปในดินโคลนก่อนสลายเป็นอากาศ ทำให้หาไม่เจอ!
“อาจิ่ว! กัวมู่จิ่ว!”
ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเสียงตะโกนอย่างร้อนรนของลู่ยา แต่มู่จิ่วก็จนปัญญา
นางร้อนใจอยากตอบเขากลับไปเช่นกัน ร้อนรนจนลำคอมีกลิ่นคาว แต่นางยังคงร่วงลงไป ทำให้นึกสงสัยว่าตนเองจะผ่านแก่นโลกทะลุไปยังช่วงเวลาอื่นหรือไม่!
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ สุดท้ายความเร็วในการร่วงหล่นของนางก็ช้าลง ในที่สุดก็มาถึงก้น แต่ไม่ได้ตกลงบนพื้นแข็ง กลับเป็นพื้นที่อ่อนนุ่ม…นางคิดว่าตนเองสับสนแล้ว มู่จิ่วดันตนเองลุกขึ้นมา ยังคงมองอะไรไม่เห็น บริเวณที่มือทั้งสองสัมผัสนั้นอ่อนนุ่มลื่นมือ ราวกับเป็นฟูกผ้าไหมชั้นสูง
พื้นลึกสุดแบบนี้จะมีฟูกผ้าไหมได้อย่างไร?
หรือนางกระแทกจนแม้แต่การสัมผัสยังหายไปด้วย?
แต่เมื่อสัมผัสดีๆ อีกที ก็เหมือนอย่างมากจริงๆ!
สิ่งที่เรียบลื่นเช่นนี้ ไม่ใช่ฟูกผ้าไหมจะเป็นอะไร?
นางลูบผ้าไหมนี้ไปมา กลับสัมผัสโดนดอกมู่หลันแถวหนึ่ง…ดอกมู่หลันสลักตกแต่งอยู่บนเตียง หรือใต้นางจะเป็นเตียงหลังหนึ่ง?
นางกลืนน้ำลาย ยื่นมือไปสัมผัสอีก และพลันสัมผัสโดนพื้นผิวประหลาด…
“ฮึๆ”
มีคนอดไม่ได้ หัวเราะอออกมาตรงหน้านาง
มู่จิ่วตกใจ ชักมือกลับทันใด “นั่นใคร?”
ไม่มีคนตอบ หลังจากเสียงเสื้อผ้าเสียดสี ในห้องพลันมีแสงสว่างขึ้นบ้าง มู่จิ่วมองไป เห็นเพียงในเงามืดค่อยๆ ปรากฏลูกแสงกลม ลูกกลมนี้สว่างไปทั้งห้องทีละน้อย ค่อยๆ เผยให้เห็นภาพเบื้องหน้ามู่จิ่วทีละก้าว
นี่เป็นห้องที่ตกแต่งได้งดงามและประณีตมาก แต่โบราณอย่างยิ่ง
เครื่องใช้เป็นของเก่า อาวุธเป็นของเก่า แม้แต่ตะกร้าสานขนาดใหญ่ตรงมุมห้องก็เก่าแก่จนใหญ่เท่าน่องของนาง มองไปใต้ร่างอย่างละเอียด มันเป็นเตียงหลังหนึ่งจริงๆ ผ้าทอบนเตียงก็ไม่ใช่ของธรรมดาแต่เป็นของพิเศษ ไม่เห็นรอยทอแม้แต่น้อย
สุดท้ายนางเงยหน้าขึ้น เห็นด้านข้างลูกแสงนั้นมีคนยืนอยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฝ่ายนั้นสวมเสื้อเขียวแขนกว้าง ผมดำยาวถึงเอว มือทั้งสองกอดอก งอเข่าข้างหนึ่งยืนอย่างสบายๆ ทั้งกายดูเย้ายวนอย่างมาก
สายตาของมู่จิ่วจับจ้องเขาทันที แต่เพราะแสงด้านหลังทำให้นางเห็นหน้าเขาไม่ชัด
แต่เพราะใบหน้าไม่ชัดเจน ทำให้นางคิดถึงคนหนึ่งขึ้นมาได้!
“เจ้าเป็นใคร?”
นางพลันระแวดระวังราวกับกระดิ่งส่งสัญญาณเตือน
นี่ต้องเป็นคนเสื้อเขียวที่เหลียงจีบอกไว้แน่!
ต้องเป็นเขาแน่!
แต่เหมือนนางเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…ใช่แล้ว บนหุบเขาภูเขาไท่ คนที่ใต้ต้นสนนั่น! ตอนนั้นถึงแม้นางเห็นเขาไม่ชัด แต่ความรู้สึกที่นางมีต่อเขาประหลาดแบบนี้เหมือนกัน!
…………………………………………………………………