ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 296 น่ารังเกียจเสียจริง
มู่จิ่วจึงโยนอีกใบเข้าไปอีก จากนั้นหันหลังให้ทันที
มือทั้งสองของลู่ยาถือหมอนเข้ามาถึงหน้าเตียง หยิบใบที่ปิดหัวนางขึ้นมา ก่อนนั่งลงริมขอบเตียงอย่างว่าง่าย
มู่จิ่วไม่ขยับ
ห้องจึงเงียบลงไปเช่นนี้
ลู่ยาครุ่นคิดอยู่นาน มองมู่จิ่วที่อยู่บนเตียง ก่อนยื่นมือไปนวดคลึงไหล่นาง แต่นางสะบัดไหล่หลบ
เขาทุบขาให้อีก นางก็ยืดขาเตะโดนท้องน้อยเขาพอดี
ลู่ยาร้องอย่างอึดอัดแล้วตัวงอล้มลงไปบนเตียง นางผลุงตัวนั่งขึ้นมาทันที หันมามองเขา อยากจะดูว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรหรือไม่ก็ดันไม่สบายใจนัก ใจส่วนหนึ่งก็โกรธ อีกส่วนหนึ่งก็อดห่วงเขาไม่ได้ จนกระทั่งเห็นเขาค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา นางจึงกัดฟันนั่งกอดเข่าไม่สนใจเขา
ลู่ยาเอนตัวดึงนางอยู่บนเตียง นางก็ไม่ขยับเขยื้อน เขาออกแรงเล็กน้อย ครั้นมู่จิ่วเซล้มลงมา เขาพลิกตัวกักนางไว้ใต้ร่างพอดิบพอดี จากนั้นกดแขนทั้งสองข้างของนางไว้ มองใบหน้าโกรธขึ้งที่ห่างออกไปครึ่งฉื่อ ไม่มีอารมณ์โมโหแม้แต่น้อย ความอ่อนโยนที่กักเก็บไว้พันหมื่นปีเอ่อล้นออกมาทั้งหมด ก้มหน้าลงไปจุมพิตดวงตาบวมแดงของนาง
มู่จิ่วไม่อยากให้การใช้กำลังเกิดขึ้น จึงสะบัดหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย ลู่ยาทำได้เพียงใช้มือทั้งสองประคองหน้านางไว้ มู่จิ่วที่มือทั้งสองข้างเป็นอิสระจึงระดมทุบลงบนหลังเขาราวกับห่าฝน ทั้งยังกัดริมฝีปากล่างจนซีดขาว
ลู่ยาแยกริมฝีปากมู่จิ่วออก ศอกข้างหนึ่งค้ำอยู่ทางซ้ายของนาง มือขวากดนางเข้ามาหาอก “มา เจ้ากัดตรงนี้”
มู่จิ่วกัดลงไปจริงๆ แต่เขาก็ไม่ขยับ ไม่ถอยหลบไป ดวงตาทั้งสองมองไปข้างหน้าอย่างนิ่งเฉย
มู่จิ่วกัดไปสองครั้งก่อนหยุดลงในที่สุด ก่อนพลิกตัวเข้าไปนอนเอนด้านใน
เขาก็เอนตัวลงกอดเอวนางไว้จากด้านหลัง
ทันใดนั้นเขาพลิกตัวกดนางลงไปใต้ร่างอีก ดวงตาทั้งสองมืดดำราวกับน้ำหมึก “พวกเราแต่งงานกันเถอะ”
มู่จิ่วยังไม่หายโกรธ กำลังจะยกมือขึ้นทุบเขา พอได้ยินคำพูดนี้กลับชะงักไป
แต่งงาน?!
คิดได้ประเสริฐนัก เพิ่งพูดเรื่องหลิวหยางกันอยู่ กลับเปลี่ยนมาเป็นเรื่องแต่งงานเสียนี่…
“แต่งงานกับข้าเถิด” เขาพูดอีก
ลมหายใจของเขารินรดจนมู่จิ่วใจเต้นราวกับรัวกลอง ก่อนยื่นมือออกไปผลักเขา “คืนหลิวหยางมาให้ข้าก่อนค่อยว่ากัน!”
“มีข้าไม่พอหรือ?” ลู่ยาเอ่ยเอาใจนางไม่ไหวแล้ว
นี่คือคำพูดอันใด!
มันเทียบกันได้หรือ?!
นางโกรธจนผลักเขาอีก เขากลับกักนางไว้ใต้ร่าง “หากหลิวหยางคือชายชุดเขียว? เจ้าจะทิ้งข้าแล้วตามเขาไปหรือไม่?”
เจ้าคนระ…อะไรนะ?
หลิวหยางคือชายชุดเขียว?
นางพลันชะงักแน่นิ่ง เขาหมายความว่าอย่างไร?
ลู่ยาที่อยู่ห่างออกไปสามนิ้วมือด้านบนมีแววตาลุ่มลึก ไม่เหมือนกับล้อเล่น
เขาสงสัยว่าหลิวหยางคือชายชุดเขียว?
“เป็นไปไม่ได้!”
ในหัวมู่จิ่วพลันผุดตัวอักษรเหล่านี้ขึ้นมา นางผลักเขาอย่างแรงอีกครา แต่เขากลับเหมือนขุนเขาที่กดทับร่างนาง ไม่ขยับแม้แต่น้อย และสายตาของเขาก็เหมือนกับบึงน้ำที่ลึกไม่เห็นก้น
ลมหายใจของเขาราบเรียบนัก ราบเรียบเสียจนผิดปกติเล็กน้อย
นางพลันพูดไม่ออก…ถึงแม้นางมั่นใจจากจิตใต้สำนึกว่าหลิวหยางต้องไม่ใช่คนสองหน้าแบบนั้น แต่หากคิดตามที่ลู่ยาพูด ชายชุดเขียวไม่เคยพบนางมาก่อน นางก็ไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับเขาเลย ทำไมเขาถึงได้คุ้นเคยกับนางเช่นนั้นและยังไม่ทำร้ายนางอีก?
คนที่นางสนิทสนมที่สุดทั้งยังมีพลังแข็งแกร่งก็มีเพียงหลิวหยาง!
นางอยู่กับหลิวหยางมานานกว่าที่อยู่กับลู่ยาเสียอีก!
ราวกับมีแสงสว่างส่องลงมาในความมืดมิด ความสงสัยมากมายพลันปรากฏออกมาทั้งหมด
ในเมื่อชายชุดเขียวผู้นั้นเป็นฝั่งอธรรม ย่อมต้องไม่มีเหตุผลในการทำดีกับนาง ลู่ยาพูดไม่ผิด เขาต้องรู้จักนางแน่ หลิวหยางเป็นอาจารย์นาง ต้องเข้าใจนางอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรู้ว่านางชอบกินส้มของหลิงหนาน ทั้งยังปอกส้มให้นางอย่างใส่ใจ…ซึ่งหลิวหยางก็เป็นคนที่เอาใจใส่อยู่แล้วด้วย!
ขณะเดียวกัน การหลบซ่อนตัวของหลิวหยางก็น่าสงสัยยิ่งนัก!
…แต่ถึงแม้หาข้อสงสัยมากมายเช่นนี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย นางก็ยังคงไม่เชื่อว่าหลิวหยางคือคนแบบนั้น
ในสองพันปีนี้ นางยังไม่ชัดเจนเรื่องนิสัยของเขาอีกเช่นนั้นหรือ? เขาสอนนางและเหล่าศิษย์พี่ให้ทำความดีตลอดมา ถึงแม้เขาซ่อนตัวอยู่ในหงชางก็ไม่เคยกล่าวโทษสังคม ยามนางเจ็บปวดและปวดหัวเพราะเรื่องระหว่างตนกับลู่ยา เขาก็ให้กำลังใจนางตลอด นางไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนสองหน้า!
หากนางไม่ได้เห็นชายชุดเขียวด้วยตาของตนเอง และไม่เคยใกล้ชิดกับเขามาก่อนก็ช่างเถิด บางทีนางอาจจะเห็นด้วยกับลู่ยา แต่ไม่ว่านางย้อนนึกกลับไปอย่างไร ก็ไม่อาจเห็นร่องรอยของหลิวหยางจากตัวชายชุดเขียวเลยสักนิด คนผู้นั้นสุขุมมั่นใจในตนเอง ถึงแม้หลิวหยางก็เป็นเช่นนั้น แต่รัศมีของเขาสง่างามและสงบนิ่งมากกว่า
แต่หลิวหยางทำอะไรมีขอบเขต ไม่เคยใกล้ชิดกับนางมากเกินไป ไม่เคยทำเรื่องเช่นปอกส้มให้ด้วยตนเองหรือจับจูงมือนาง…ในเมื่อไม่เคยทำมาก่อน จะสามารถทำเรื่องเหล่านี้กับนางอย่างเป็นธรรมชาติในทันทีทันใดได้อย่างไร?
หากไม่ใช่คุ้นชินมากพอ ย่อมไม่อาจทำอย่างเป็นธรรมชาติได้ถึงขนาดนั้น…ดังนั้นต้องไม่ใช่หลิวหยางแน่!
“ชายชุดเขียวไม่ใช่หลิวหยางแน่นอน!” หน้าอกนางกระเพื่อมขึ้นลง บอกเขาอย่างมั่นใจ
“แน่ใจหรือ?” ปลายจมูกลู่ยาชิดปลายจมูกนาง ไล้เบาๆ จากปีกจมูกไปยังใบหู “ข้าก็หวังว่าจะไม่ใช่”
เขาก็ไม่อยากคิดเช่นนั้น แต่หลิวหยางหายไปได้แปลกประหลาดนัก และสำคัญคือ…มู่จิ่วมองหลิวหยางไว้สูงส่งมาก นางยังเคยพูดว่าแม้แต่อาจารย์ของตนเองนางยังไม่เคยหวั่นไหวด้วย…นี่หมายถึงอะไร? แสดงว่าในใจนางหลิวหยางมีเสน่ห์อย่างยิ่ง เช่นเดียวกับนางที่มีเสน่ห์เหนือสามัญต่อลู่ยา เมื่ออยู่ด้วยกันตลอดเวลา หลิวหยางจะไม่หวั่นไหวกับนางเลยหรือ?
เมื่อครู่ตอนอยู่ภูเขาหงชาง ลู่ยาพลันคิดถึงความเป็นไปได้นี้
ถึงแม้ไม่แน่ใจ แต่เมื่อคิดเช่นนี้กลับทำให้เขาไม่อาจสงบใจได้ ชายชุดเขียวปฏิบัติต่อนางแบบนั้น เขารู้สึกราวกับถูกริดรอนสิทธิไป เขารับไม่ได้ที่ยังมีคนอื่นไม่สนใจตัวตนของเขาอย่างโอหังเช่นนี้ นอกจากเขาแล้ว ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์แสดงท่าทีสนิทสนมใกล้ชิดนาง
หากคนผู้นั้นเป็นหลิวหยางจริง อีกฝ่ายมีฐานะและคุณสมบัติมากพอจะทำให้เขาสับสน ทั้งยังทำให้เขาต้องอิจฉา…พวกเขารู้จักกันมาก่อน และยังอยู่ด้วยกันตลอดมานานถึงสองพันปี ส่วนลู่ยากับมู่จิ่วนับเวลาที่อยู่ด้วยกันแล้วยังไม่ถึงสองปี..เวลาสองพันปีสามารถเกิดเรื่องราวได้มากมาย!
เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง ตั้งแต่วันที่เห็นมู่จิ่วกับชายชุดเขียวพบกัน เขาก็ไม่สามารถกลบความว่างเปล่าในใจได้
สตรีของเขาถูกคนอื่นหมายตา?
เขาขบใบหูนาง ลมหายใจกระชั้นราวสัตว์ป่า
มู่จิ่วเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนเม้มแน่น
นางถูกเขากระตุ้นจนค่อยๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
นางก็รู้สึกถึงความตื่นตัวและร้อนแรงของเขาเช่นกัน เขากำลังหึงนางกับหลิวหยาง? หรือ…ชายชุดเขียว?
เจ้าคนขี้หึง…
ยังไม่ทันได้ด่าว่า กลับถูกเชยคางขึ้น ลู่ยาก้มลงมาขบกัดริมฝีปากนางแล้ว
……………………………………………………….