ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 297 ฉวยโอกาส
มู่จิ่วยังโกรธอยู่ อยากผลักเขาออกไป แต่สุดท้ายก็ทำไม่ลง
ช่างเถิด เห็นแก่นางที่ไม่มีทางอธิบาย
เมื่อวานเห็นเขาทำตัวราวกับไม่เกี่ยวข้องด้วย นางยังนึกว่าเขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าผ่านมาวันเดียวกลับอดทนไม่ไหวแล้ว!
เขาจูบไล่จากริมฝีปากมายังคาง จากสันกรามมายังลำคอ กระดูกไหปลาร้าอันแบบบางเจือไปด้วยกลิ่นหอมของกายนาง เขาทนไม่ไหว ปลดสายคาดเอวมู่จิ่ว แหวกสาบเสื้อออก ก่อนตรงไปยังลาดไหล่ขาวผ่อง
…ไม่ได้นะ!
มู่จิ่วใจเต้นราวกับจะกระโดดออกมา ลมหายใจก็กระชั้นขึ้น นางจับคอเสื้อไว้โดยไม่รู้ตัว มืออีกข้างยันแผงอกเขาไว้…พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกัน! ทำไมไม่รอตอนนางเป็นเซียนเต็มตัวจนยืนเคียงข้างเขาได้แล้วค่อยทำเรื่องนั้น? และตอนนี้นางกับเขายังทะเลาะกันอยู่ ทำเช่นนี้เหมาะสมหรือ?
เขาก็อย่าได้คิดว่าจะใช้แผนชายงามล่อลวงให้นางปล่อยเขาไป!
“เจ้า เจ้าออกไป…” นางพยายามรวบรวมกำลังเอ่ยออกมา
แต่ไหนเลยจะเหมือนการข่มขู่? เสียงกระซิบแหบพร่าเช่นนี้ ฟังไปแล้วเหมือนกับเสียงยั่วยวนริมหู เขายิ่งจุมพิตลงไปบนคอนางตามแต่ใจ รวมทั้งบนไหล่และผิวขาวราวหิมะที่โผล่พ้นเอี๊ยมออกมา ทั้งยังดูดดึงนิ้วมือของนาง กระทั่งขบกัดนางเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้ายตัวหนึ่ง
นางถึงกับรู้สึกว่าเขาสามารถกลืนนางลงไปได้ทุกเมื่อ!
นี่เขากินยาปลุกกำหนัดมาหรือ?
นางยันอกเขาพลางตัวสั่นไปตามใจที่เต้นรัว…จะมากเกินไปแล้ว! เขาช่างฉวยโอกาส!
“ออกไป…”
เสียงลอดไรฟันนางออกมา แต่เดิมเตรียมออกแรงสุดกำลัง แต่สมาธิถูกรบกวน สุดท้ายออกมาเพียงเสียงเบาๆ
ลู่ยายิ่งไม่ควบคุมตนเอง ทำตามใจปรารถนา ไล่จูบไปทุกที่
เขารู้ถึงความหอมหวานของนางนานแล้ว มักใจฟุ้งซ่านเมื่ออยู่กับนางสองคน แต่ก็ไม่เคยล่วงเกินนางเช่นนี้มาก่อน
แต่ตอนนี้เขากลับคลุ้มคลั่ง เหมือนกับหนุ่มรุ่นผู้เหลาะแหละ เขารักผู้หญิงคนหนึ่ง เขาต้องการเป็นเจ้าของนาง
เขาหยุดเมื่อเกือบทำนางช้ำไปทั้งตัว ฝังหน้าลงกับไหล่ สูดกลิ่นหอมของนางเข้าไป
มู่จิ่วถูกสัมผัสจนร้อนไปหมด ตื่นตระหนกยิ่งนัก เมื่อเห็นลู่ยาหยุดจึงผลักเขาออกไป ก่อนหยิบหมอนขึ้นมาทุบ!
ลู่ยายื่นมือออกไปหยุดหมอนนั้น ผมหลุดลุ่ยจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ ผมปอยหนึ่งตกลงมาปรกด้านหน้า ทำให้เขาดูชั่วร้ายเหมือนปีศาจ
มู่จิ่วยิ่งโกรธขึ้ง จับหมอนพุ่งเข้าหาเขา เขายื่นมือออกไปรัดนางไว้ ใช้คาถาสะกัดจุดให้หยุดนิ่ง ก่อนจัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้
ตอนที่นิ้วมือเขาไล้ผ่านช่วงล่างของกระดูกไหปลาร้า มู่จิ่วรู้สึกว่าตนเองร้อนผ่าว!
เจ้าคนระยำสมควรตาย…
นางอยากกัดเขาให้ตาย…
“อย่าใจร้อน ช้าเร็วข้าก็เป็นของเจ้า” เขาเอื้อมมือมาผูกสายรัดเอวให้จากด้านหลัง แผ่นอกแนบกับแผ่นหลังนาง ใบหน้าแนบกับใบหน้าเห่อร้อนของนาง เสียงก็เบาจนมีเพียงนางคนเดียวที่ได้ยิน “เมื่อถึงเวลาเจ้าอยากกัดข้าขบข้า ถอดเสื้อผ้าข้าอย่างไร กระทั่งจะรังแกกันอย่างไรข้าก็ยอม แต่เจ้าไม่อาจลืมข้าหรือละทิ้งข้า”
มู่จิ่วหันกลับไปทันที ถึงได้รู้ว่าตนเองขยับตัวได้แล้ว นางปล่อยปากที่กัดอยู่บนคอเขาก่อนผลุงตัวขึ้นมา ชี้หน้าอย่างโกรธเคืองพลางพูด “เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
“หมายความว่าเจ้าไม่ทำเรื่องนั้นก็คือไม่ทำ แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้วเจ้าห้ามสนใจข้า” เขาขบลงไปบนคอนางอีกรอบ จากนั้นถอยออกไปนั่งบนเตียง มองแววตาคู่นั้นของนางอย่างล้ำลึก แต่ฟันที่เผยออกมากลับเป็นระเบียบและสวยงาม เขาเจอเรื่องพลิกผันเช่นนี้อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก หรือแต่ก่อนเขาจะสงบเสงี่ยมเกินไป?
มู่จิ่วอยากกระอักเลือด…
แต่รอยยิ้มของเขาทำให้สายตานางพร่าเลือน รอยยิ้มเช่นนี้ เร็วๆ นี้เหมือนนางเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…
เดิมทีอยากคิดบัญชีกับเขา แต่ถูกเขาทำแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร
ชายชุดเขียวนั้นก็ประหลาดนัก แต่นางดันไม่อาจไม่ให้ลู่ยาเห็นภาพนั้น เขาจะหึงและโกรธก็สมเหตุสมผลอยู่กระมัง?
แต่นี่เป็นคนละเรื่องกับที่เขาทำให้หลิวหยางตกใจหนีไป!
เรื่องนี้นางไม่อาจอภัยได้
สรุปคือ หากยังไม่เจอหลิวหยางนางไม่ปล่อยเขาไปแน่!
ลู่ยาจำต้องเชื่อฟัง ตอนนี้ต้องทำตามกฏอย่างว่าง่าย และตามหาร่องรอยของหลิวหยาง
แน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยจื่อจิ้งไป เสียงร้องโหยหวนก่นด่าดังออกมาจากห้องไม่หยุดตลอดทั้งวัน อีกทั้งลู่ยายังสร้างเขตพลังป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าได้ รุ่ยเจี๋ยและอาฝูก็ทำได้เพียงมองดูจากที่ไกลๆ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าหากไม่ใช่เพราะพวกเขาสองคนอยู่ในห้องด้วยกันนาน และเมื่อออกมาคอมู่จิ่วก็เต็มไปด้วยรอยแดงเล็กๆ มากมาย เกรงว่าเป็นไปได้ว่าลู่ยาจะใช้ฝ่ามือเดียวกำจัดกระดิ่งนั่น
ตกดึกเสี่ยวซิงมาหาถึงที่ห้อง มายืนยันเรื่องที่หงชางกับมู่จิ่ว หลังจากฟังนางพูดจบเสี่ยวซิงก็ถอนหายใจ
ถึงแม้ไม่ว่ามู่จิ่วอยู่ที่ไหนที่นั่นก็คือบ้านของนาง แต่อย่างไรก็อยู่ที่หงชางมานานห้าร้อยปี หงชางพลันหายไปเช่นนี้ จะให้ไม่เสียใจได้อย่างไร
มู่จิ่วก็ถอนหายใจเช่นกัน
แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งนางก็สงบใจลงได้ ถึงแม้หลิวหยางหายไปกะทันหันจนรับมือไม่ทัน แต่คิดแล้วเขาก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย เพียงแค่หลบหนีไปเท่านั้น นางจึงสบายใจขึ้นมาก นางเชื่อว่าอาจารย์ไม่อาจละทิ้งนางได้จริงๆ ภายหลังต้องปรากฏตัวหรือติดต่อนางมาแน่
ส่วนเรื่องที่เขาเป็นจุ่นถีผู้มีชื่อเสียงจริงหรือไม่ นางไม่สนใจขนาดนั้น
นางหวังเพียงพวกเขาอยู่อย่างสงบสุขก็พอแล้ว
แต่เสี่ยวซิงกลับพูดว่า “หากเขาเป็นลูกศิษย์ของหุนคุนจริง เช่นนั้นก็เป็นหลานศิษย์ของลู่ยา เจ้าจะมิต้องเรียกลู่ยาว่าอาจารย์อาใหญ่หรือ?”
มูจิ่วตกตะลึงกับคำอนุมานนี้ แต่ครุ่นคิดเรื่องนั้นในตอนนี้มันเร็วไปมิใช่หรือ? หลังจากนางเป็นเซียนแล้วถึงจะแต่งงานกับลู่ยาได้…พูดถึงเรื่องแต่งงาน นางอดคิดถึงเรื่องที่ทำให้ใจเต้นหน้าแดงเมื่อตอนกลางวันไม่ได้ เดิมทีนางมองตนเองเป็นท่อนไม้ที่ไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์หญิงชาย แต่วันนี้ถูกเขากระทำเช่นนั้น ในใจก็ราวกับมีความอบอุ่นเอ่อล้นขึ้นมา…
ถึงแม้เขาไม่พูด นางก็สัมผัสถึงความร้อนรุ่มในใจเขาได้
เห็นนางติดต่อกับชายอื่นเป็นการส่วนตัวเช่นนั้น เขาย่อมรู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว?
อย่างไรตอนนั้นนางเห็นเขากับ ‘อ๋าวเยวี่ย’ อยู่ด้วยกัน ใจก็รู้สึกราวกับถูกเฉือน รู้สึกว่างเปล่า
ตลอดชีวิตนี้มู่จิ่วยินยอมให้เขาล่วงเกินนางเช่นนี้เพียงคนเดียว นางจนปัญญากับเขาแล้ว
แต่…ชายชุดเขียวนั่นเป็นใครกันแน่?
หลายวันนี้ในหน่วย ยามที่หลิวจวิ้นทักทายนางมักจะสงบเสงี่ยมลงบ้าง
มู่จิ่วรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงไม่เปิดโปง ทำตัวไปตามปกติ ถึงแม้นางคบหากับลู่ยา แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหลิวจวิ้น แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวชัดเจน ผ่านไปแบบนี้หลายวัน หลิวจวิ้นถึงได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ทว่ายังระมัดดระวังคำพูด เขาไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทัพทหารสวรรค์โดยเปล่า ไม่ได้แพร่งพรายเรื่องลู่ยาออกไปแม้แต่น้อย
ในความเป็นจริง หากมู่จิ่วไม่หาเรื่องใส่ตัว กิจธุระในหน่วยก็เล็กน้อยอย่างมาก ปกติธรรมดายิ่งนัก
……………………………………………………………