ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 302 มารขี้อาย
“คนที่เพิ่งมาใหม่ล่ะ?”
ตอนนี้เอง เสียงยานคางทว่าแฝงไปด้วยความใจร้อนอย่างยิ่งดังมาจากหลังม่านมุก
มู่จิ่วยังไม่ทันคิดว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งโผล่ออกมาวูบวาบ มีคนผู้หนึ่งปรากฏบนชั้นบันไดหินหยก เขาสูงราวแปดฉื่อ สวมเสื้อยาวลากพื้น ผมดำขลับปล่อยลงมาระบ่า มีดวงตาหงส์กระจ่างใสคู่หนึ่งบนกรอบหน้าอันหมดจด ใต้สันจมูกคมสัน ริมฝีปากล่างเม้มแน่น รัศมีสูงส่ง สั่นสะเทือนเก้าทวีป ดูออกว่าเขากำลังโกรธอยู่
แต่โกรธแล้วลอกคราบผู้อื่นโยนออกมาข้างนอกนี่มันคือเรื่องอันใดกัน…
อีกทั้งเขายังเผยช่วงอก เปิดกล้ามเนื้ออันหนั่นแน่นเหนือช่วงเอวอย่างไม่เกรงฟ้าดิน และช่วงล่าง…
นางไม่มีโอกาสได้เห็นช่วงล่าง เพราะเพิ่งเบนสายตาไป เสื้อคลุมที่หลุดรุ่ยของเขาพลันปิดกลับขึ้นมา! และลู่ยาที่อยู่ด้านข้างนางก็มีไอเย็นชาแผ่ออกมา หนาวเย็นจนนางตัวสั่น!
นางเบิกตากว้างมองไปอย่างละเอียด ใบหน้าดุดันอย่างยิ่งของชายผู้นั้นพลันเปลี่ยนไปแข็งค้าง ตอนนี้เองมีเสียงชายอีกคนดังจากด้านหลังม่านมุก “องค์ราชา ข้าน้อยเตรียมน้ำร้อนเรียบร้อยแล้ว รอเพียงเข้าไปอาบ…” คล้อยหลังเสียงนี้ คนที่แต่งหน้าจนดูไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย แต้มลายดอกไม้กลางหน้าผาก โผล่หน้าออกมาจากหลังม่านนั้น
เมื่อเห็นลู่ยากับมู่จิ่วยืนอยู่ตรงกลางตำหนัก เขาพลันปรบมือ “ที่แท้ก็มาแล้ว!” มองพวกเขาหัวจรดเท้า จากนั้นพยักหน้า “หน้าตาโดดเด่นยิ่งนัก!” ชายผู้นั้นพูดพลางดึงพวกมู่จิ่ว “ยังยืนนิ่งทำอะไร? ไม่รู้หรือว่าราชาทนรอไม่ไหวแล้ว? รีบตามข้าไปชำระล้างร่างกายเร็ว!”
มู่จิ่วตัวสั่น ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าพวกเขาถูกมองเป็นอะไร!
มิน่าเล่า คนเหล่านั้นถึงได้มองพวกนางด้วยสายตาประหลาดมาตลอดทาง ที่แท้พวกเขาคิดว่าพวกนางเป็นนายบำเรอของบุรุษตรงหน้านี่? เช่นนั้นชายเปลือยกายเมื่อครู่ต้องถูกโยนออกมาหลังจากถูกชายป่าเถื่อนนั่นเชยชมแล้ว!
มู่จิ่วไม่คิดเลยว่าเมื่อมาถึงจะได้พบฉากคาวราคะเช่นนี้ ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรวางสายตาไว้ตรงไหนดี
“ว้าย!”
นางเพิ่งตกตะลึง ชายที่มาดึงพวกนางก็กระเด็นออกไปราวกับลมพัดทั้งที่ยังไม่ถึงตัวด้วยซ้ำ
ม่อเหยียนก้มหน้า ถลกเสื้อคลุมขึ้น ราชามารที่เมื่อครู่ยังดูน่าเกรงขามกลับคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยม่อเหยียนศิษย์วังหยกคล้อย คารวะอาจารย์อาใหญ่”
มู่จิ่วจดจ้องมองเขา เพียงเห็นเขาในตอนนี้ถึงแม้ไม่ได้สูญเสียกลิ่นอายราชาไป แต่กลับไม่มีท่าทางสุขสำราญเช่นชายชุดเขียว…ความรู้สึกที่ชายชุดเขียวมอบให้แก่นางคือถึงพายุคลั่งพัดผ่าน ผมเขาก็ไม่กระดิกสักเส้น และถึงแม้หกภพถล่มลง เขาก็คงไม่ขมวดคิ้วทำลายความสุขุมแม้แต่น้อย
แต่ม่อเหยียนดูปกติกว่าเขามากนัก อย่างน้อยยามนี้ก็ยังมีอารมณ์ความรู้สึก
หากเขาเป็นชายชุดเขียว เกรงว่าหากเผชิญหน้ากับลู่ยา นางก็มั่นใจว่าเขาจะไม่ดูหวาดกลัวเช่นนี้
เขาไม่ใช่ชายชุดเขียว
บางทีลู่ยาอาจดูออกเช่นเดียวกัน เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ไม่รู้โผล่มาเมื่อไหร่ เหลือบมองด้านล่างธรณีประตูพลางก้มหน้ามองม่อเหยียนอย่างโกรธเคือง พร้อมยิ้มเยาะให้นายบำเรอที่ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก “สบายอกสบายใจยิ่งนักล่ะสิ”
“ศิษย์ไม่กล้า” ม่อเหยียนสะบัดแขนเสื้อ นายบำเรอผู้นั้นก็หายไป ก่อนเงยหน้าขึ้นมา “ศิษย์ไม่รู้ว่าอาจารย์อาใหญ่มาเยือน จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับ อีกทั้งไม่คิดว่าพวกเขามีตาหามีแววไม่ ล่วงเกินท่านเข้า เป็นศิษย์ที่ผิดเอง ขออาจารย์อาใหญ่ให้อภัยด้วย”
เหล่าเซียนรับใช้ที่ไม่รู้ได้ข่าวจากไหนเรียงแถวกันยกชาและขนมเข้ามา ลู่ยาประคองถ้วยชา สีหน้าดูดีกว่าตอนเข้ามามากนัก กระทั่งไม่ถือสาที่เขาไม่สวมเสื้อผ้าชิ้นล่างทั้งยังเกือบให้มู่จิ่วเห็นเต็มตา
ม่อเหยียนยืนขึ้นมา มองมู่จิ่วอย่างไม่นอกเหนือความคาดหมายนัก
ไม่ทันได้มองจากคิ้วถึงสันจมูก ลู่ยาพลันเอ่ยคำที่ทำให้ความสนใจของเขาหายไปทันที “คารวะอาจารย์อาหญิง!”
มู่จิ่วเกือบสำลัก! จู่ๆ ลำดับรุ่นพลันอาวุโสขึ้น นางช่างยากจะปรับตัวจริงๆ
แต่นางยังประสานมือพลางพยักหน้ายิ้มให้ม่อเหยียน งดงามและเคร่งขรึม
ได้ยินมานานแล้วว่าตอนที่ม่อเหยียนลงสัญญากับอวี้ตี้ เขาเป็นคนที่รู้จักสถานการณ์ เขาตกใจอยู่ครึ่งวินาทีดังคาด แต่ก็คุกเข่าทำความเคารพอย่างนอบน้อมทันที
ถึงแม้ทั่วทั้งเก้าทวีปสี่ทะเลจะไม่มีใครเคยได้ยินว่าลู่ยาแต่งงานแล้ว แต่ในเมื่อเขายืนยันเองจากปาก การทำความเคารพนี้ไม่ว่าอย่างไรต้องทำ ภพมารของพวกเขาสามารถไม่สนใจฐานันดรเทียบเคียงกับใครก็ตามในหกภพ ยกเว้นก็เพียงแต่คนเหล่านั้นบนสวรรค์อันสู่งส่งที่ไม่อาจเทียบได้ พวกเขาปลีกตัวไม่เข้ากับฝั่งไหน ให้เขาทำตามกฎก็เป็นเรื่องง่ายๆ
ลู่ยารอจนม่อเหยียนทำความเคารพครบถ้วนแล้ว ถึงได้ให้เขานำกับแกล้มเหล้าขึ้นมาบนโต๊ะแปดเซียน พูดกับเขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้ามว่า “ช่วงนี้เกิดเรื่องเล็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่?”
ม่อเหยียนจับเสื้อคลุมมาปิดต้นขา นั่งหลังตรง “ไม่ทราบว่าอาจารย์อาใหญ่หมายถึงเรื่องใด?”
“ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น ปีก่อนเรื่องพลังวิญญาณเคลื่อนไหวที่คุนหลุนตะวันออก เจ้ารู้หรือไม่?”
ม่อเหยียนชะงัก “ความเคลื่อนไหวที่คุนหลุนตะวันออกเมื่อปีก่อน ข้าเพียงได้ยินมาว่าเป็นตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นก่อเรื่องขึ้น นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่าเบื้องหลังเรื่องนี้คือจื่อเยวี่ยผู้นำตระกูลอวิ๋นที่กลับมาเกิดใหม่ จากนั้นถูกทำร้ายตอนอยู่บนเขาในช่วงฟื้นฟูวิญญาณ ภายหลังจึงได้ยุ่มย่ามกับอ๋าวเชินเพื่อกุญแจจันทรา”
“ไม่ผิด” ลู่ยากินตับหงส์บนโต๊ะ “แต่ก่อนหน้านี้มีคนวางแผนจนเกือบทำให้ชิงชิวกับลัทธิฉ่านขัดแย้งกัน คดีนี้ถึงแม้สุดท้ายสืบได้ว่าเป็นแผนของอู่เต๋อเจินจวิน แต่หลังจากคลี่คลายคดีนี้เสร็จ ของวิเศษเหล่านั้นรวมทั้งเฟยอีเซียนหญิงที่อู่เต๋อและหลีหังแย่งชิงกันหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
“ได้ยินว่าถึงแม้ปริมาณของของวิเศษเหล่านั้นจะไม่น้อย แต่ไม่ได้ร้ายกาจอันใดมากนัก” ม่อเหยียนพูด
“แต่พลังวิญญาณของของวิเศษเหล่านั้นล้วนเป็นของเซียนสายธรรม” ลู่ยาจดจ้องมองเขา “เจ้าดูแลภพมาร ต้องรู้ว่าหากรวบรวมพลังจากของวิเศษพันกว่าชิ้นแล้วจะทำอะไรได้บ้าง และยังมีจิตต้นกำเนิดของเซียนหญิงหายไปพร้อมกับของวิเศษเหล่านี้อีก”
ม่อเหยียนยกจอกเหล้าขึ้นมา ยังไม่ทันได้จรดริมฝีปาก สีหน้าพลันทะมึน “ของวิเศษ? หลอมวิญญาณ?”
ลู่ยาขมวดคิ้ว “แม้จะพบเห็นยากแต่ก็ยังมีอีก ก่อนหน้านี้ก็เกิดเรื่องที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เสือลายเหลืองพาหนะของสกุลเซียนหยวนสถาปนาตนเองเป็นราชา สร้างอาณาจักรหนานเซียงขึ้นมา ราชาของรุ่นนี้ชื่อเซวียนหยวนฮุ่ย เขาร่วมมือกับคนผู้หนึ่งหลอมวิญญาณร้าย”
สีหน้าม่อเหยียนทะมึนอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วที่ขมวดอยู่พลันคลายออกก่อนเงียบลง
“วิญญาณในหกภพมีเพียงหนึ่งเดียว และถูกปฐมวิญญาณวางไว้ที่คลื่นจิตพสุธานานแล้ว ทำไมถึงยังมีคนต้องการหลอมวิญญาณอีก?” เขามองลู่ยาอย่างล้ำลึก
“นี่เป็นสาเหตุที่ข้ามาหาเจ้า”
ลู่ยาเขย่าเหล้าองุ่นในแก้ว “ถึงแม้วิญญาณในหกภพอยู่ที่คลื่นจิตพสุธา แต่ในหกภพยังมีพลังวิญญาณอยู่ หลอมออกมาอีกพลานุภาพก็ยังคงไม่น้อย หากรวบรวมวิญญาณทั้งหกอีกครั้ง และคนผู้นี้มีความสามารถ เช่นนั้นจะก่อเรื่องขึ้นก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้เลย อย่างน้อย…ถ้าเขาควบคุมภพวิญญาณ แบ่งหกภพกับสวรรค์ ก็เป็นไปได้มากทีเดียว”
…………………………………………………………..