ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 315 จื่อเย่าเจินเหริน
“เจ้ากลับมาได้เวลาพอดี” หัวชิงกับนางเดินเข้าไปในเรือน “ในสำนักเกิดบางเรื่องขึ้น ทำให้ข้าปวดหัวอยู่เล็กน้อย”
หัวชิงมองนางเป็นศิษย์หญิงคนโปรด แต่ก่อนตอนอยู่บนเขา นางติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง เขาให้นางจัดการเรื่องสำคัญส่วนใหญ่ ทั้งยังขัดเกลานางอย่างตั้งใจ เขาชอบความสุขุมและความมุ่งมั่นของนางนัก ในหลายร้อยปีมานี้ความรู้สึกของสาวแรกรุ่นเช่นนางเขาก็รู้ดี แต่เขาไม่เคยพูดออกมา และก็ไม่ได้ต้องการคนเคียงข้าง แต่หากนางสามารถสำเร็จเป็นเซียนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
คนเช่นเขา เรื่องความรักของหนุ่มสาวนั้นไม่สำคัญ แต่นางปักใจอยู่กับเขา นอกจากเขาแล้วนางก็ไม่เคยคุยหยอกเล่นกับผู้ชายคนไหน เขาพอใจนัก มีใครไม่พอใจบ้างเมื่อได้รับความเทิดทูนจากสาวน้อยแรกรุ่นผู้งดงาม? ถึงแม้เขาจะไม่สนใจเรื่องความรักหนุ่มสาวนัก แต่นางก็เติมเต็มความทะนงตนของชายผู้หนึ่งได้ในระดับหนึ่ง
พวกเขานั่งอยู่ในห้อง เหลียงชิวฉานมองของวิเศษจำพวกกระดองเต่าและกระดิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะตรงกลางตั่ง
และใต้ฉากกั้นลมด้านหลังเขามีกระถางดอกจุหลันซึ่งกำลังบานเต็มที่ ใบจุหลันเขียวชอุ่มชุ่มน้ำถูกผ้าไหมกว้างขนาดหนึ่งข้อนิ้วผูกไว้เป็นปมที่สวยงาม
ยอดเขาขลุ่ยหยกมีศิษย์หญิงอยู่ห้าหกคน แต่ศิษย์หญิงที่สามารถเข้าไปในเรือนยอดนภาได้มีเพียงนางเท่านั้น นางไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว และไม่เคยผูกผ้าไหมแดงไว้กับใบจุหลัน ยิ่งไปกว่านั้นหัวชิงไม่มีผ้าไหมสีสดเช่นนี้
นางก้มหน้ารับถ้วยชาที่เขารินให้ ก่อนจิบอึกหนึ่ง
มู่จิ่วยังคงตื่นตกใจกับเรื่องของเหลียงชิวฉานและหลินเจี้ยนหรูอยู่
หรือบอกได้ว่ายังคงผิดหวังอยู่บ้าง
เหตุที่นางยอมเชื่อเขา เป็นเพราะเขาไม่ได้บ่ายเบี่ยงหรือลังเลยามบอกเรื่องที่หลินเซี่ยตายด้วยเงื้อมมือตัวเอง และตอนปฏิเสธเรื่องที่ฆ่าจีหย่งฟาง เขาที่เป็นเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกว่า ถึงแม้เขาจะเดินทางผิด แต่อย่างน้อยก็จริงใจกับนาง และเพราะแบบนี้เอง นางถึงได้ช่วยเขาหยิบยืมกุญแจจันทรา ไปช่วยอู่หลานเอ๋อร์กับเขา
เรื่องของเหลียงชิวฉานติดค้างอยู่ในใจนาง ระหว่างนางกับเหลียงชิวฉานไม่ได้มีบุญคุณความแค้นใดกัน ถึงแม้ว่ามี เขาใช้วิธีนี้ปฏิบัติต่อหญิงสาวคนหนึ่งก็ช่างไม่ตรงไปตรงมาเอาเสียเลย นางไม่เข้าใจว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไร นางอยากจะไปถามเขาว่าคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ แต่จนแล้วจนรอดนางก็ไม่ได้ไป
นางแนะนำเขาไปมากพอแล้ว จนบางครั้งนางยังรู้สึกว่าตนเองทำเกินพอดีไปด้วยซ้ำ
เขาสามารถหลอกใช้เหลียงชิวฉาน ในขณะเดียวกันก็สาบานกับมู่จิ่ว เช่นนั้นเขาคงไม่ยินยอมสูญเสียอะไรไปอีกแล้วกระมัง?
ลู่ยาก็มองออกว่าหลายวันนี้มู่จิ่วมีเรื่องกังวลใจ ยามค่ำคืนเมื่อว่างจึงเรียกนางเข้ามาดื่มชาในห้อง
มู่จิ่วคิดไปคิดมา ก็เล่าเรื่องหลินเจี้ยนหรูให้เขาฟัง “ตัดเรื่องวิธีการของหลินเจี้ยนหรูออกไปก่อน พูดถึงแค่เรื่องความรักของพวกเขาก็ไม่ปกติยิ่งนัก ข้าเข้าใจว่าคนที่ไม่อาจรักหลินเจี้ยนหรูได้มากที่สุดบนโลกนี้คือเหลียงชิวฉาน แต่คิดไม่ถึงเลย มีเพียงข้าที่คิดไม่ถึง แท้ที่จริงไม่มีเรื่องที่คนบนโลกนี้ทำไม่ได้”
ลู่ยารินชาเงียบๆ ให้นาง ก่อนเอ่ย “เรื่องความรักหนุ่มสาวเป็นเรื่องที่เข้าใจยากที่สุดในโลกแล้ว”
จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เข้าใจว่าชอบนางที่ตรงไหน แต่ละทิ้งไม่ได้สลัดไม่หลุด ราวกับทำอะไรไปตามสัญชาตญาณ เหมือนถูกกำหนดไว้แล้วว่าเขาต้องปฏิบัติเช่นนี้ต่อนาง น้อยกว่านี้สักนิดก็ไม่ได้
มู่จิ่วเท้าคางพลางยิ้ม “แม้แต่เทพเซียนเช่นเจ้าก็จนปัญญาเช่นนั้นหรือ?”
“ถูกแล้ว” ลู่ยาเหลือบมองนาง คว้าจับดอกท้อที่ลอยเข้ามาทางหน้าต่าง แปลงมันเป็นดอกไม้ประดับตรงกลางฝ่ามือ ก่อนติดมันลงบนหน้าผากนาง เอ่ยพร้อมมองอย่างพินิจพิเคราะห์ “จนปัญญากับเจ้าจริงๆ”
มู่จิ่วเอนซบไหล่เขา ริมฝีปากยกยิ้ม
นางเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา กอดแขนเขาก่อนจุมพิตแก้มเขาไปทีหนึ่ง
ลู่ยาก้มหน้ามองมู่จิ่ว ยกริมฝีปากสัมผัสแก้มนางเช่นกัน
เขาเรียกผังเข็มทิศออกมา ก่อนพูด “สักสองสามวันมานี้ข้าไปที่เขาหงชางมา”
มู่จิ่วนั่งตัวตรง “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าครุ่นคิดเรื่องการหายไปของหลิวหยางใหม่อีกครั้ง มีเรื่องหนึ่งค่อนข้างน่าสงสัย” เขาชี้ไปบนผังเข็มทิศ จากนั้นภาพก็ลอยขึ้นมา เป็นวันนั้นที่เขาไปหงชาง เห็นภาพเหล่าเด็กอ้วนกำลังเก็บลูกพลับ เขาเอ่ยว่า “ตั้งแต่ข้าเข้าไปในภูเขาจนเจอกับจื่อจิ้ง ออกมาแล้วเข้าไปอีกรอบ ข้ามั่นใจว่าหลิวหยางสัมผัสถึงข้าไม่ได้”
มู่จิ่วมองอย่างละเอียด เงยหน้าขึ้นพูด “แล้วอย่างไรเล่า?”
“ไม่เพียงเขาสัมผัสถึงข้าไม่ได้ เหล่าศิษย์พี่ของเจ้าก็สัมผัสถึงข้าไม่ได้ ในเมื่อไม่มีคนพบเจอข้า ทำไมตอนที่ข้ากับจื่อจิ้งกลับไปเจอไผ่กำราบหกสัมผัสกับต้นไม้เจ็ดอัญมณี เขาที่ไม่ได้อยู่เรือนสนครวญถึงตัดสินใจหนีหายไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น?” ลู่ยายังคงพูดช้าๆ ทว่าคำพูดแต่ละคำกลับมีน้ำหนักยิ่งนัก
มู่จิ่วชะงักเล็กน้อย “นี่ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร วิชาอาคมของหลิวหยางไม่ด้อย และหากเขาเป็นจุ่นถีจริง เขาใช้วิชาหลบลี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเจอต้นไม้เจ็ดอัญมณีก่อนจะไปเรือนสนครวญ ระว่างนั้นมีเวลาตั้งมากให้เขารู้เรื่องและตัดสินใจ ไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก”
“แต่เขาไม่เคยพบข้ามาก่อนมิใช่หรือ” ลู่ยาจับจ้องนางแน่นิ่ง “ครานั้นที่เจ้าพารุ่ยเจี๋ยกับอาฝูกลับไปหงชาง ข้าก็ไปมาด้วยเช่นกัน ตอนนั้นข้าคิดไม่ถึงว่าเขาเป็นจุ่นถี จึงไม่ได้อำพรางกายอย่างดี เขาย่อมต้องเห็นข้าแน่นอน แต่ตอนนั้นเขากลับไม่หนีไป และก็ไม่ได้ตื่นตกใจจนเสียกิริยา”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง ครั้งนั้นเขาไปหงชาง นางกลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อครุ่นคิดตามคำพูดของเขาแล้วก็มีเหตุผลนัก หากหลิวหยางไม่อยากเจอหน้าลู่ยา เช่นนั้นทำไมเขาถึงไม่จากไปทันทีที่นางออกจากหงชางไป? ไม่เพียงไม่จากไป เขายังสนับสนุนให้มู่จิ่วกับลู่ยาอยู่ด้วยกันเสมอ อีกทั้งเขาไม่ต่อต้านและไม่ได้มีปัญหา หรือเพียงไม่ได้คิดว่าภายหลังลู่ยาจะกลับมาหงชาง?
เหตุใดเขาจึงเลือกจากไปอย่างเร่งร้อนเพียงนั้น?
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร?” นางถาม
“ตอนนี้ข้าก็ไม่มีความคิดที่ชัดเจนเช่นกัน” ลู่ยามองผังเข็มทิศ “เบาะแสน้อยเกินไป คาดเดาเช่นไรก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น”
มู่จิ่วละสายตากลับมา นิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนมองไปยังผังเข็มทิศของเขา
ลู่ยาในภาพเดินเข้าไปในห้องของหลิวหยาง หลิวหยางที่นั่งขัดสมาธิอ่านหนังสือกับเขาในความทรงจำนางไม่มีอะไรแตกต่าง ลู่ยากำลังพิจารณาเขา และเขากำลังครุ่นคิดเหม่อลอยพร้อมกับเคลื่อนผังดวงชะตา
“นี่เป็นคำทำนายที่ดี”
ลู่ยามองนาง
มู่จิ่วไม่ได้พูดอะไร นางจับตาดูต่อไป จนเห็นมู่หัวเข้ามารายงาน “อาจารย์ จื่อเย่าเจินเหรินมาขอพบ…”
เสียงไม่ใคร่ชัดเจนนัก เหล่าศิษย์ต่างสำรวมเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวหยางเสมอ
แต่มู่จิ่วกลับขมวดคิ้วเอ่ย “จื่อเย่าเจินเหริน?”
“ตอนนั้นเป็นเช่นนี้ หลังจากจื่อเย่าเจินเหรินผู้นั้นมาถึง หลิวหยางก็ออกไป” ลู่ยาถาม “เจ้ารู้จักหรือไม่?”
“ไม่รู้จัก” มู่จิ่วยืดตัวขึ้น “สหายของอาจารย์ไม่มาก สหายเซียนที่คบหากับอาจารย์นับรวมกันแล้วไม่เกินห้านิ้วมือ จื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้ข้าไม่เพียงไม่เคยเห็น ยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนด้วย”
…………………………