ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 325 มีคนชอบพอกัน
เขาเดินเข้าไปอย่างเคร่งขรึม บนประตูแขวนม่านไผ่ มีคนสวมเสื้อสำนักแรกพยับเดินออกมาจากด้านใน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหน้าหลินเจี้ยนหรูพอดี!
เมื่อเห็นดวงตาคู่นี้ หลินเจี้ยนหรูก็หลุดจากอาการชะงักแล้วเริ่มคืนสติกลับมา จากคืนสติกลับมาค่อยเป็นเชื่องช้า จากเชื่องช้าค่อยกลายเป็นเฉยชา สุดท้ายคนผู้นั้นยิ้มเยาะเดินเข้ามาหาหลินเจี้ยนหรู “หลินเจี้ยนหรู หลังจากนี้พวกเราก็อาศัยอยู่ชายคาเดียวกันแล้ว ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
แววตาของหลินเจี้ยนหรูเย็นชาลงทันที
คนผู้นี้คือหูเจียงเต๋อศิษย์ของฉางหลิวเจินเหริน เป็นหนึ่งในศิษย์ที่เข้ามายังทัพทหารสวรรค์พร้อมกับเขา แต่ก่อนเขาอยู่ลานยอดม่วง ตอนนี้กลับเข้ามาอยู่กับเขาหลังกลับจากสำนักแรกพยับ! เขาขอประกันด้วยหัวตัวเอง หัวชิงส่งมาจับตาดูเขาแน่นอน!
หัวชิงย่อมไม่อาจมองข้ามการเปลี่ยนแปลงในร่างกายเขาไปได้ ตอนนี้พวกเขาคงกำหนดชะตาเขาแล้ว ว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ปล่อยให้ไปลืมตาอ้าปาก!
ในใจเขาโกรธกริ้วนัก มองอีกฝ่ายอย่างเหยียดๆ โดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด และกลับเข้าห้องตนเองไป
“อา พี่เฉิน พี่เสี้ยว! ฝากเนื้อฝากตัวด้วย…”
ด้านนอกยังมีเสียงของหูเจียงเต๋อโหวกเหวกเข้ามา เขากำหมัดแน่น มุ่งตรงเข้าห้องด้านในไป
ยามกลางวันแดดส่องผ่านร่มไม้กระทบลงบนพื้น สะท้อนแสงสีทองเต็มไปหมด
แสงอาทิตย์ก็ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องเช่นกัน ลู่ยามองผังดวงชะตาที่ด้านหน้า มันไม่มีการเคลื่อนไหวมาร่วมครึ่งชั่วยามแล้ว
หลายวันมานี้เขาว่างยิ่งนัก จึงพินิจพิเคราะห์วิชาอาคมสำหรับสยบพลังวิญญาณในร่างมู่จิ่ว
จะใช้เพียงผนึกศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาก็ไม่ได้ หากต้องการปกป้องนางจากการโดนพลังภายในทำร้าย ก็ต้องแน่ใจด้วยว่าพลังวิญญาณส่วนปกติของนางจะไม่ถูกผนึกไปด้วย ยังดีที่เขามีเวลามาก จึงค่อยๆ ลงมือขบคิดไปอย่างสบายๆ ราวกับปักลายดอกไม้ไปทุกวัน และมีผลลัพธ์ออกมาบ้างทีละน้อย แต่ยังห่างไกลกับคำว่าสำเร็จอยู่มาก
“อาจารย์ขอรับ คืนนี้พวกเราต้องไปฝึกควบคุมลมหายใจที่โลกมนุษย์หรือไม่?” รุ่ยเจี๋ยยกถ้วยน้ำแกงเข้ามาอย่างระมัดระวัง จากนั้นวางลงบนมุมโต๊ะเตี้ย
“ไม่ไป ทำไมหรือ?” ลู่ยาเล่นแผ่นหยกขนาดเท่าเล็บมือบนโต๊ะพลางเอ่ยถาม
รุ่ยเจี๋ยกระมิดกระเมี้ยนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูด “หากไม่ไป ข้าอยากไปจับปลาในทะเลสาบติงกับจื่อจิ้งขอรับ”
ทะเลสาบติงคือส่วนหนึ่งของทางช้างเผือกด้านนั้น เต็มไปด้วยปลาเซียนมากมาย บางประเภทส่องแสงได้ ส่วนประเภทที่ว่ายน้ำเร็วทั้งยังกะพริบตาได้นั้นเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มาตลอด พวกเขาจับกลับมาเลี้ยง ยามค่ำคืนเมื่อดับแสงโคม จะมองดูปลาในอ่างส่องแสงระยิบระยับ ว่ายไปมาเหมือนแสงที่เคลื่อนผ่านเป็นเส้นๆ ดูแล้วน่าสนุกยิ่งนัก
ลู่ยาก็เคยทำเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่คิดห้ามปราม
แต่เขายังบอกว่า “เจ้าไปกับจื่อจิ้ง ไม่กลัวโดนกลั่นแกล้งหรือ?”
“กลั่นแกล้งอะไร? หรือข้าเคยทำเรื่องไม่ดีอะไรไว้?!”
รุ่ยเจี๋ยยังไม่ทันตอบ จื่อจิ้งก็พุ่งเข้ามาในห้องแล้วชี้หน้าตัวเอง โหวกเหวกราวกับนกกา
รุ่ยเจี๋ยรั้งเอวเขาไว้
ลู่ยาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย เหมือนคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเขาต้องเข้ามา เอ่ยว่า “เคยทำเรื่องเลวร้ายมาก่อนหรือไม่ ตัวเจ้ารู้ตัวเองดี หากต้องให้ข้าสาธยายออกมาก็ขายหน้าแย่แล้ว จริงสิ…” พูดถึงตรงนี้เขาก็ช้อนสายตาขึ้นมอง “เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่ไปอีก? มั่นใจว่าอาจิ่วของพวกเราไม่กล้าไล่เจ้าหรือ?”
“ยังหาศิษย์พี่จุ่นถีไม่เจอ ข้าก็ไม่ไปแน่นอน!” จื่อจิ้งร้องเสียงดังอย่างไม่กลัวตาย
ลู่ยาชะงักไปนิด ก่อนเอ่ย “เกรงว่าเจ้าจะเสียเวลาเปล่า จุ่นถีมีคนรักแล้ว ข้าว่าเขาคงยังไม่ออกมาช่วงนี้”
“คนรัก?” จื่อจิ้งตะลึงงัน แต่จากนั้นก็พลันอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “หมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าไม่บอกเจ้า” ลู่ยากล่าวช้าๆ พลางฝังแผ่นหยกเข้าไปในสายสร้อยทอง
จื่งจิ้งร้อนใจจนแทบลุกเป็นไฟ! เรื่องน่าสนใจขนาดนี้ทำไมเขาถึงไม่รู้? แต่ก่อนเขาก็สนิทสนมกับจุ่นถีอยู่ไม่น้อย จุ่นถีมีคนรักแล้ว ทำไมไม่บอกเขาสักคำ?
เกินไปแล้ว!
“ไม่สิ ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!” เขาเดินอ้อมลู่ยาไป หากไม่ถามความจริงเรื่องนี้ให้รู้ความ เขาก็อัดอั้นตันใจนัก! “ท่านไม่ได้พบเขาหลายปีแล้วมิใช่หรือ? ทำไมถึงได้รู้ว่าเขามีคนรักแล้ว?”
“เพราะข้าได้ยินมากับหู” ลู่ยาเลิกคิ้ว พูดอย่างเนือยๆ
“ได้ยินมาจากไหน?” จื่อจิ้งถามอีก
ลู่ยาฝังแผ่นหยกได้สองแผ่นถึงเงยหน้าขึ้น กวักนิ้วเรียกจื่อจิ้ง “เจ้าเข้ามานี่”
จื่อจิ้งกลืนน้ำลาย ยื่นหน้าเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ลู่ยาหนีบใบหูของเขาไว้แล้วดึงเข้ามา “เจ้าคงจำเรื่องที่เจ้ากลิ้งเข้าไปในห้องของจุ่นถีคราวก่อนตอนพวกเราไปที่หงชางได้?”
“จะบอกก็บอกสิ! หนีบหูข้าทำไมกัน?!” จื่อจิ้งร้องเสียงดัง สองมือสะบัดตีเขา แต่มือเท้าสั้นเกินไป จะแตะถูกตัวลู่ยาได้อย่างไร?
ถึงรุ่ยเจี๋ยจะเห็นว่าจื่อจิ้งช่างโชคร้ายนัก แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปช่วย
ใครจะกล้าเผชิญหน้ากับลู่ยาเล่า?
ลู่ยาเพียงขยับนิดหน่อยจื่อจิ้งก็ลอยแล้ว “ในเมื่อเจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ข้าก็อยากถามเจ้าอยู่พอดี วันนั้นตอนเจ้าไปหงชาง เคยได้ยินคนที่ชื่อจื่อเย่ามาหาจุ่นถีถึงที่รึไม่? บอกข้ามาอย่าให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว”
เขาหิ้วจื่อจิ้งไปพลาง อีกมือหนึ่งก็จัดการสร้อยทอง ท่าทางไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้จื่อจิ้งจะโกรธจนควันออกหู แต่เมื่อได้ยินคำถามเขากลับพลันชะงัก “จื่อเย่า?” เขาครุ่นคิดสักครู่ก่อนตอบว่า “คุ้นหูอยู่บ้าง”
“วันนั้นเจ้าก็ได้ยินหัวชิงมารายงานว่าจื่อเย่ามาหา จากนั้นก็เห็นว่าจุ่นถีออกไปใช่ไหม?” ลู่ยายุ่งกับเรื่องของตัวเอง ไม่มองเขาแม้แต่น้อย
ไหนเลยจะรู้ว่าจื่อจิ้งกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่! วันนั้นข้าไม่ได้เจอศิษย์พี่จุ่นถีเลย หากข้ารู้ว่าเขาออกไป ข้าจะรั้งอยู่ที่นั่นทำไม?”
ลู่ยาชะงักแล้วหันหน้ามา “เช่นนั้นเจ้าได้ยินชื่อคนผู้นี้มาจากไหน?”
“ท่านปล่อยข้าลงก่อน!” จื่อจิ้งใส่อารมณ์
ลู่ยาจึงปล่อยเขาลงอย่างง่ายดาย
จื่อจิ้งลูบใบหูพลางจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง ก่อนตอบ “ข้าก็จำไม่ได้ว่าได้ยินมาจากที่ไหนและตอนไหน แค่รู้สึกว่าคุ้นหูเท่านั้น แต่น่าจะได้ยินมาจากสวรรค์อันสูงส่ง”
“ไร้สาระ!” ลู่ยาเหลือบมองเขา “เจ้าลงไปโลกมนุษย์สักกี่ครั้ง? ทั้งปีอยู่แต่สวรรค์อันสูงส่ง ไม่ได้ยินที่นั่นแล้วจะได้ยินจากที่ไหน?”
แต่เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว ได้ยินมาจากสวรรค์อันสูงส่ง?
หรือชื่อปลอมจื่อเย่านี้จะเป็นคนของสวรรค์อันสูงส่ง?
…จริงสิ ก่อนที่จุ่นถีกับเจียอิ่นจะก่อตั้งศาสนาก็อาศัยอยู่บนสวรรค์อันสูงส่งมาตลอด จื่อเย่าสนิทสนมกับจุ่นถีเพียงนั้น หากคนผู้นั้นจะมาจากสวรรค์อันสูงส่งก็เป็นไปได้สูงมาก!
เขาลงจากตั่ง มาตรงหน้าจื่อจิ้ง “เจ้าคิดดีๆ อีกที ได้ยินมาจากที่ไหนกันแน่?”
จื่อจิ้งเห็นอีกฝ่ายจริงจังนักก็สะดุ้งตกใจ ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่เมื่อลู่ยาจริงจังขึ้นมาเขาก็ไม่กล้าล้อเล่นอีก ดังนั้นจึงครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “น่าจะเป็นบนเขาห้าอาวรณ์ มีต้นหลินจือชื่อว่าจื่อเย่า แต่นั่นไม่ใช่สมญานามหรอก เพียงแค่พวกเราผ่านไปที่นั่นบ่อยและเขาก็ไม่มีชื่อพอดี ไม่รู้ว่าใครตั้งให้เขา”
……………………………………………………