ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 334 คิดแผนชั่วช้า
ยามที่มู่จิ่วดูงูขาวงูเขียวจับสวี่เซียนยกขึ้น เสี่ยวซิงพลันเขย่าตัวนาง “เจ้าดูนั่น หลินเจี้ยนหรู”
หลินเจี้ยนหรู?
มู่จิ่วมองไปตามทางที่นางชี้ เห็นเขานั่งอยู่บนแท่นเมฆเยื้องไปฝั่งตรงข้าม ด้านข้างมีสหายหน่วยลาดตระเวนอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง พวกเขาเห็นนางมองมาพอดีจึงโบกมือขึ้นทักทาย นางก็ยกมือขึ้นตอบเช่นเดียวกัน แต่หลินเจี้ยนหรูกลับเพียงเหลือบมองนางนิ่งๆ ก่อนชมการแสดงต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มู่จิ่วชะงัก แล้วจึงละสายตากลับมาเช่นกัน
หลังจากที่ปฏิเสธไปเมื่อคราวก่อน เขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาอีกเลย โดยปกติเขารู้จักวางตัวมาตลอด ถึงแม้นางจะเป็นเพียงคนผ่านทางเขาก็ยิ้มน้อยๆ ให้ได้ แต่ตอนนี้เหลือเพียงความเย็นชา เป็นไปได้ว่ายังคงติดใจเรื่องเมื่อคราวก่อนอยู่
มู่จิ่วก็ไม่ได้นึกเสียใจ เพราะนางเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว
อันที่จริงหลินเจี้ยนหรูเห็นมู่จิ่วนานแล้ว
แต่เห็นแล้วอย่างไร? นางทอดทิ้งเขาไปแล้ว!
เขาดูการแสดงบนเวที มุมปากยิ้มเหยียด
“ศิษย์พี่หลิน ศิษย์พี่หญิงฝากมาบอกให้ท่านกลับไปเสียหน่อย”
ระหว่างกำลังครุ่นคิดอยู่ก็พลันมีคนมาสะกิดแขนเขา
เขาหันไป เห็นเพียงสหายที่อยู่ร่วมลานบ้านเดียวกันยิ้มตาหยีประจบ
เขาเข้าใจว่าแค่ล้อเล่นจึงยิ้มๆ และไม่ได้สนใจ ไหนเลยจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับทำสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้ล้อท่านเล่น เป็นเรื่องจริง ก่อนข้ามาหูเจียงเต๋อได้รับสารกระเรียนกระดาษจากสำนักแรกพยับ แม่นางเหลียงพบเข้าพอดีจึงให้ข้ามาบอก บางทีสำนักของท่านอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านลองไปดูเถิด”
หลินเจี้ยนหรูถึงได้เชื่อ
แต่สำนักแรกพยับมีจดหมายถึงหูเจียงเต๋อ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?
เขานิ่งเงียบ แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้น
ทางด้านลานสนเขียว มือทั้งสองของหูเจียงเต๋อยังคงสั่นเทา
เหลียงชิวฉานขู่เขา “เจ้ากลัวอะไร? ในเมื่ออาจารย์ส่งเจ้ามา ช้าเร็วเจ้าก็ต้องกลับไปรายงาน”
หูเจียงเต๋อกลืนน้ำลายลงคอ พุ่งเข้าไปคุกเข่าต่อหน้านาง “ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ ศิษย์พี่โปรดช่วยชี้แนะด้วย!”
“มีอะไรพูดไม่ได้กัน เจ้าเพียงต้องจำไว้ว่าหากพูดไม่ดีก็อาจตายด้วยน้ำมือข้า”
เหลียงชิวฉานยังไม่ทันตอบ เสียงของหลินเจี้ยนหรูก็ลอยเข้ามาจากด้านนอก เขาก้าวเข้าประตูมาแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าหูเจียงเต๋อ เหลือบตาลงมองจากด้านบน จากนั้นดึงกระดาษที่คลี่ออกในมืออีกฝ่ายขึ้นมาดูก่อนโยนใส่หน้า “ยังนิ่งอึ้งอยู่อีก? อยากให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าหรือ?”
สีหน้าของหูเจียงเต๋อซีดขาวตั้งแต่เขาปรากฏตัว รีบลุกขึ้นออกเดินทางทันที
เหลียงชิวฉานรอจนเขาลับสายตาไปถึงหันมาจ้องหลินเจี้ยนหรู “เจ้าต้องทำเช่นนี้ให้ได้หรือ?”
“เช่นนี้แล้วอย่างไร?” เขาพูดเรียบๆ “เทียบได้กับหนึ่งในสิบของสิ่งที่พวกเจ้าทำกับข้าหรือ?”
เหลียงชิวฉานนิ่งอึ้ง เหม่อมองเขาที่จากไปแล้วเช่นกัน
มู่จิ่วกลับบ้านหลังจากชมการแสดงเสร็จ ลู่ยายังไม่กลับมา แต่เมื่อดูจากกระจกสำริดในห้องเขา ก็เห็นว่าเขากำลังนั่งเฝ้าอยู่ที่เขาลูกหนึ่ง ยามกลางคืนมองไม่ชัดว่าเป็นที่ไหน และก็มองไม่เห็นโครงร่างของเขา รู้เพียงสถานการณ์คร่าวๆ เท่านั้น
เขาสบายดีก็พอแล้ว
หลังจากอาบน้ำกลับห้อง นางหยิบยันต์ขึ้นมาหลายแผ่น ถือโอกาสรอเขากลับมาด้วยเลย
ลู่ยาอยู่ที่หงชาง
ที่จริงเขาก็อยากไปดูการแสดงเป็นเพื่อนนาง แต่ตอนนี้ไม่อาจไปได้ เขามีเรื่องเร่งด่วนสำคัญต้องทำ
กลับจากคลื่นจิตพสุธาคราวก่อนเขาอารมณ์เสียไปหลายวัน เขาเป็นต้นกำเนิดพลังสายเสวียนหมิง ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนใช้พลังเสวียนหมิงมาขวางทางเขา แต่มันกลับเกิดขึ้น…ตอนแรกเขามัวแต่จับจดอยู่กับตัวตนของคนผู้นี้ แต่ตอนหลังเขานึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่หงชางยังไม่จบ และเรื่องทั้งสองก็แปลกพอกัน เขาจึงกลับมาให้ความสนใจเรื่องการหายไปของจุ่นถีอีกครั้ง
ตาข่ายที่เขาสร้างไว้วันนั้นยังอยู่ ช่วงหลายวันมานี้เขาเฝ้าอยู่ที่หงชาง
การมาเฝ้าที่หงชางไม่ใช่เพราะว่าเขามีหลักฐานแน่ชัด แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลางสังหรณ์ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการคาดเดา
ตามที่จื่อจิ้งบอก จื่อเย่าเจินเหรินผู้นั้นมาจากสวรรค์อันสูงส่ง เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่วนที่สงสัยคือเซียนที่กำเนิดมาจากหลินจือจะได้รับเกียรติจากจุ่นถีได้อย่างไร? แต่ส่วนที่เชื่อคือหากจุ่นถีกับจื่อเย่าเจินเหรินไม่ได้รู้จักกันบนสวรรค์อันสูงส่งก่อน จุ่นถีคงไม่มีท่าทีสนิทสนมกับเขาเช่นนั้น
ตอนนี้เขายังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าปัญหาอยู่ที่จื่อเย่าแน่นอน
และไม่สามารถยืนยันว่าจื่อเย่าคือชายชุดเขียว
แต่ปัญหาทั้งหมดในตอนนี้ คำตอบอยู่ที่การหาตัวจุ่นถีให้เจอ
อย่างไรหากชายชุดเขียวไม่ปรากฏตัวมาเขาก็หาไม่พบ จึงทำได้เพียงเฝ้าอยู่ที่นี่
หลายวันมานี้แม้จะไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ในหงชางก็ดูสงบนัก ไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าเทพเซียน แม้แต่มนุษย์เดินดินก็ไม่มีให้เห็น ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองคิดผิดไปหรือไม่ เพราะพวกเขาไม่น่าทนได้นานขนาดนี้ และจุ่นถีไม่น่าจะสามารถรับรู้ถึงตาข่ายสวรรค์ของเขาได้ ถึงแม้อาคมของเขาก้าวหน้าขึ้นก็ไม่อาจก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้ แต่…ทั่วทั้งสี่ทะเลเก้าทวีปล้วนเงียบสงบ ทำให้เขายิ่งมั่นใจในการคาดเดานี้ เขาเชื่อว่าพวกจุ่นถียังอยู่ที่หงชางแน่!
ดังนั้นตกบ่ายเขาจึงครุ่นคิด ก่อนกลับสวรรค์ไปลากจื่อจิ้งออกมา
เมื่อกลับมาถึงหงชางจึงกล่าวขึ้น “อีกสักพักข้าจะขับเคลื่อนพลัง เจ้าเพียงร่ายมนตร์โชคร้ายไปยังตาข่ายสวรรค์นั่น”
จื่อจิ้งไม่เข้าใจ “ท่านวางแผนชั่วร้ายแกล้งใครอีก?”
ลู่ยากวาดตามองเขา ไม่ได้พูดอะไรด้วยมากนัก เพียงแค่บอกว่าอีกสักพักต้องทำอย่างไร จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิกลางอากาศ แล้วร่ายคาถาไปยังตาข่ายสวรรค์ที่ปกคลุมทั้งสี่ทิศบนเขา
จื่อจิ้งไม่กล้าขัดคำสั่ง แน่นอน เขาย่อมไม่อาจยอมรับว่าตนจัดการลู่ยาไม่ได้ เพียงแต่แค่เห็นอีกฝ่ายทำมานานขนาดนี้ก็ยังไม่สำเร็จจึงช่วยเสียหน่อยเท่านั้น อันที่จริงเขาก็มีใจชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่
จื่อจิ้งจึงทำตามที่ลู่ยาสั่ง
รอจนพลังของลู่ยาปกคลุมทั้งภูเขา ไม่นานก็ค่อยๆ รู้สึกว่าทั้งตาข่ายสวรรค์ค่อยๆ สั่น เขาเล็งเส้นเล็กๆ ที่คล้ายไหมเส้นหนึ่งบนนั้น แล้วส่งมนตร์โชคร้ายไปทันควัน!
ลู่ยาเก็บพลังเข้ามา ตาข่ายสวรรค์จึงค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม
ช่วงเวลาที่เขาร่ายคาถาสั้นเสียจนคนไม่อาจสังเกตเห็น
แต่จื่อจิ้งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยสมเหตุผลนัก เขาจึงถาม “ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล? หากไม่มีคนโดนมนตร์นั้นเข้าล่ะ?”
มนตร์โชคร้ายของเขาถึงแม้จะขลัง แต่ก็ต้องโดนตัวเสียก่อนจึงจะได้ผล ภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้ ถึงแม้ซ่อนอยู่ที่นี่จริง ใครจะรู้ว่ามันจะโดนพวกเขาเข้าแน่ๆ?
“ถึงแม้จะไม่โดนคน ก็ต้องโดนสัตว์อะไรบ้าง หรือหากไม่มีสัตว์เดินผ่านก็ต้องมีใบไม้ดอกไม้ร่วงหล่นบ้างมิใช่หรือ?” ลู่ยาก้าวช้าๆ สะบัดเสื้อ “และถึงแม้ไม่โดนพวกใบไม้ดอกไม้ก็ยังมีธุลีดิน เพียงแค่มีธุลีดินโดนมนตร์ของเจ้าเข้า มันจะต้องแสดงปฏิกิริยาออกมาบ้าง เรื่องหลายเรื่องก็จะหลุดจากการถูกควบคุม ย่อมต้องเป็นปัญหาไม่ช้าก็เร็ว”
จื่งจิ้งขมวดคิ้ว ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สายตาจับจ้องไปยังยอดเขาที่มืดครึ้ม
…………………………..