ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 335 สามีของอาจารย์อา
จื่อจิ้งรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง
แต่จะเป็นม้าหรือเป็นลาก็ไหลไปตามน้ำก่อน
ลู่ยาคิดแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ความเหนื่อยยากในหลายวันมานี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากไม่มั่นใจเขาคงไม่ไปลากจื่อจิ้งมา นอกเสียจากจุ่นถีจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ขอเพียงเขาอยู่ที่นี่ อย่างไรหางก็ต้องโผล่ออกมา!
ทั้งสองนั่งจับตามองอยู่บนเมฆเหนือหงชาง บนเขาเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ใบไม้ต้นไม้ต่างแห้งไปหมด เหล่าสัตว์พากันจำศีล ลมเหนือพัดส่งเสียงหวีดหวิว ใบไม้ร่วงปลิวว่อน หนาวเหน็บเหงาหงอยยิ่งนัก สองคนนั่งเบื่ออยู่บนเมฆจนอยากจะงีบหลับ ทั้งยังดูน่าเวทนาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับเป็นคนจรจัดที่กำลังหนาวและหิว รวมถึงไม่มีบ้านให้กลับด้วย
จื่อจิ้งจ้องมองดาวในคืนหนาวพลางหาวหวอด เขาลุกขึ้นกำลังจะขอตัวจากไปก่อน ก็พลันได้ยินเสียงมาจากพุ่มไม้บนเขา เขากลั้นหายใจมองตามไป ลู่ยาก็ยืดคอมอง จากนั้นมีหัวกลมๆ โผล่ออกมาจากในพุ่มไม้! หัวนี้มองไปซ้ายขวาก่อนจะหันกลับไป และด้านหลังก็มีหัวโผล่ออกมาอีก!
หลังของลู่ยายืดตรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว!
“มาแล้ว! มาแล้วจริงๆ!” จื่อจิ้งผลุงขึ้นมาร้องเสียงดัง
ลู่ยาได้ยินเขาพูดก็รู้สึกว่าไม่ดี เสียงเพิ่งจะดังขึ้น สองหัวนั้นก็พลันหลบกลับเข้าไปในพุ่มไม้ดังคาด! แต่ลู่ยาจะปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร? พูดเหมือนช้าทว่าความจริงเร็ว ไม่ทันได้กะพริบตาเขาก็ไปอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว มือข้างหนึ่งจับตัวหนึ่ง ดึงพวกเขาออกมาจากในเขตพลัง!
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย! อาจารย์ช่วยด้วย!”
เสียงเด็กน้อยสองเสียงดังขึ้นมาตรงไหล่เขา ร่างสูงไม่ถึงสามฉื่อแขวนอยู่กลางอากาศ แขนขาอวบอ้วนเหมือนรากบัวเหวี่ยงไปมาไม่หยุด
“อาจารย์ของพวกเจ้าคือใคร? เขามีนามว่าอะไร?” จื่อจิ้งรีบพุ่งเข้ามา เชิดหน้าขึ้นถามพวกเขา
“ซี่…ซี่มู่เหยา” เด็กน้อยทางฝั่งซ้ายตอบเขาด้วยเสียงเล็กๆ ขณะร้องไห้
“มู่เหยา?” เมื่อลู่ยาได้ยินชื่อนี้ก็พลันยกยิ้ม ถึงแม้ลู่ยาจะไม่รู้จักศิษย์พี่ของมู่จิ่ว แต่เมื่อได้ยินชื่อนี้แล้ว อย่างไรก็หนีไม่พ้น! สองคนนี้คือหลานศิษย์ของจุ่นถี ในที่สุดหางก็โผล่มาให้เขาจับจนได้ พวกเขาหลบซ่อนอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปไหนไกลจริงๆ!
จื่อจิ้งก็รีบคืนสติกลับมา เดิมทีเขาไม่เชื่อ ตอนนี้กลับต้องเชื่อแล้ว คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายลู่ยาจะจับได้จริง! จึงรีบถาม “พวกเจ้าออกมาจากไหน? คนอื่นล่ะ?”
“เมื่อครู่อาจารย์พาพวกเรามานั่งใต้ต้นเหมย ไม่รู้ว่าใครทำรังต่อบนนั้นพัง ตัวต่อต่อยอาจารย์ อาจารย์กลัวพวกเราจะโดนต่อยด้วย จึงผลักพวกเราออกมา ข้าก็ไม่รู้ว่าออกมาได้อย่างไร!” เด็กอ้วนทางขวาพูดพลางปาดน้ำตา
คนนี้เป็นเด็กผู้ชาย
ครั้นเห็นเขาร้องไห้ เด็กหญิงทางซ้ายก็ร้องตามเสียงดัง “อาจารย์! ข้าอยากหาอาจารย์!”
ทั้งสองร้องเป็นจังหวะเดียวกัน ก่อนจะนั่งลงไปร้องไห้โฮบนพื้น ภูเขาที่เมื่อครู่ยังสงบเงียบ ตอนนี้กลับถูกเสียงร้องไห้ดังสนั่นราวฟ้าคำรามทำลายความสงบไป ลู่ยายืนหลังตรงก่อนเอ่ย “พวกเจ้าลุกขึ้นมา”
สองเด็กน้อยไหนเลยจะฟัง
ลู่ยาจนปัญญา เขาพูดอีกว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นมาพูด!”
ทั้งสองกลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้น อีกทั้งในต้นไม้ที่ห่างไกลออกไปยังมีดวงตาสีเขียวของหมาป่าสว่างเรืองรอง!
ปกติลู่ยาเจอคนรับมือยากมาหลายรูปแบบ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้จะทำอย่างไร จะตีก็ตีไม่ได้ จะด่าก็ด่าไม่ได้ ทำได้เพียงเรียกจื่อจิ้ง “เจ้าจัดการที!”
จื่อจิ้งขนหัวลุก “ท่านยังจนปัญญา แล้วข้าจะทำได้อย่างไร? ข้าเองก็ยังเป็นเด็กอยู่เลย!”
ลู่ยาไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงเขาไปอยู่ตรงหน้าเจ้าพวกเด็กขี้แย “หากทำไม่ได้ อย่าคิดจะกลับสวรรค์!”
จื่อจิ้งลอบด่าเขาในใจ ถูกบีบจนไร้หนทาง ทำได้เพียงนั่งยองลงไป มองทั้งสองคนนั้นเงียบๆ
“อย่าร้องๆ ถ้าร้องปีศาจจะออกมา!” เขาขู่
เด็กทั้งสองชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ่งร้องเสียงดังขึ้น
จื่อจิ้งขนหัวลุก รีบยอบตัวลงหยอกล้อพวกเขา ก่อนจะเอาขนมงาตัดที่ทั้งกรอบทั้งหอมออกมาหลายชิ้น “ใครเงียบก่อนจะได้กินขนมงาตัด!”
วิธีนี้นับว่าได้ผล เพิ่งพูดไปเสียงร้องไห้อันน่ากลัวก็พลันหยุดลง เจ้าเด็กอ้วนกลมทั้งสองน้ำตาคลอมองขนมงาตัดในมือเขา สะอึกสะอื้นไปพลางน้ำลายไหลไปพลาง ก่อนจะนั่งสงบเสงี่ยมทันที
จื่อจิ้งหักแบ่งขนมส่งให้พวกเขาทั้งสอง ก่อนเอ่ย “ไม่ให้ร้องแล้ว หากร้องอีกข้าจะเก็บขนมนี่ไป!”
ตอนนี้แม้แต่เสียงสะอึกสะอื้นก็เงียบหาย
ลู่ยาจึงค่อยเดินเข้ามาอย่างพอใจ นั่งยองลงไปพูด “พวกเจ้าชื่ออะไร?”
เด็กชายชี้เด็กหญิงที่ค่อยๆ ก้มหน้าแกะห่อขนม “นางคือซี่ชิงถง ข้าซี่ชิงเหมย” ตาทั้งสองเลื่อนมาหาเขาอย่างรวดเร็ว “ท่านเป็นใครหรือ?”
“ข้าหรือ ข้าคือสามีของอาจารย์อาพวกเจ้า” ลู่ยาเลิกคิ้วพลางเอ่ย เขาจงใจเอ่ยคำว่าสามีของอาจารย์อาชัดๆ จนไม่อาจชัดเจนกว่านี้ได้แล้ว
“สามีของอาจารย์อา? “ ชิงถงกับชิงเหมยมองหน้ากัน ราวกับไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
“ข้าเป็นสามีของมู่จิ่ว อาจิ่วคืออาจารย์อาของพวกเจ้า แน่นอนว่าข้าย่อมต้องเป็นสามีของอาจารย์อาพวกเจ้า” ขอเพียงพวกเขาไม่ร้องไห้ ความจริงลู่ยายังมีความอดทนมากพอจะคุยเล่นกับเด็กๆ ได้ “อาจารย์ของพวกเจ้าคือลำดับที่ไหร่?”
เด็กทั้งสองนิ่งเงียบ แม้ใบหน้ายังดูมึนงง แต่ก็พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด คนผู้นี้มองดูแล้วไม่น่ากลัว หน้าตาหล่อเหลายิ่ง ถึงแม้เป็นสามีของอาจารย์อา พวกเขาก็พอรับได้ ชิงเหมยมองชิงถงที่กินขนมงาตัดเข้าไปเงียบๆ กลืนน้ำลายก่อนเอ่ย “ข้าอยู่ลำดับสิบ”
ลู่ยาพยักหน้า ก่อนพูดอีก “ข้าจะถามคำถามพวกเจ้าสักหน่อย หากพวกเจ้าตอบได้ ข้าจะให้ขนมงาตัดเต็มห้อง”
ดวงตาของชิงเหมยสว่างวาบ ชิงถงก็เงยหน้าขึ้นมาจากขนม
“ขนมงาตัดเต็มห้อง ใหญ่ขนาดห้องนอนของพวกเราหรือไม่?”
“แน่นอน ใหญ่กว่าเรือนสนครวญของเจ้าสำนักพวกเจ้าเสียอีก”
ใหญ่กว่าเรือนสนครวญของเจ้าสำนัก นั่นใหญ่ขนาดไหนกันนะ? ชิงเหมยชิงถงรีบลุกขึ้นมา “เช่นนั้นท่านก็ถามมาเถิด”
ลู่ยาถาม “ช่วงนี้เจ้าสำนักของพวกเจ้าอยู่เรือนหรือไม่?”
“อยู่” ทั้งสองคนแย่งกันพยักหน้า “อยู่ทุกวัน ทั้งยังไม่ให้พวกเราออกมาข้างนอกด้วย”
ลู่ยาพยักหน้าอีก อยู่ก็ดี ดูซิว่าตอนนี้จะซ่อนไปได้ถึงไหน!
เขาถามต่อ “เช่นนั้นพวกเจ้านำทาง ข้าจะเข้าไปหาเจ้าสำนักของพวกเจ้า”
ชิงเหมยนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพลันยื่นปาก “ข้าก็ไม่รู้ว่าจะกลับเข้าไปอย่างไร ข้าหาทางไม่เจอเลย!”
ลู่ยาชะงักไป เมื่อคิดดูพวกเขาก็ถูกมู่เหยาโยนออกมา กลับไปไม่ถูกย่อมเป็นเรื่องปกติ
แต่เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยไป จึงส่งสองคนนี้ให้จื่อจิ้ง ลุกขึ้นมุ่งไปยังพุ่มหญ้าที่พวกเขาโผล่หน้าออกมาเมื่อครู่
มันเป็นพุ่มไม้แสนจะธรรมดาที่งอกอยู่ในหลุมตื้น กระทั่งกระต่ายก็ยังหลบไม่ได้ แน่นอนว่าไม่ต้องดูก็รู้ มันจะเป็นปากถ้ำไปได้อย่างไร
แต่พวกเขาทั้งสองสามารถออกมา ก็ยืนยันได้ว่าตรงนี้คือจุดอ่อนแน่
………………………………..