ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 339 แม่เลี้ยงประเภทนี้
“ข้าขอน้อมรับเมตตาของใต้เท้าไว้ แต่ข้ารับคดีนี้ไว้ไม่ได้จริงๆ อยากขอให้ท่านมอบให้คนอื่นไปเถิด!” นางพูดอย่างจริงใจ
“เจ้าประหลาดนัก” หลิวจวิ้นขมวดคิ้วเท้าเอวมองนาง “คนที่มาร้องทุกข์ก็คือแม่เลี้ยงของหลินเจี้ยนหรู ข้าคลับคล้ายคลับคลาว่าแม่เลี้ยงคนนี้ปฏิบัติต่อเขาไม่ดีนัก ตอนนี้นางป่าวประกาศว่าเขาคือฆาตกร เรื่องนี้จะเชื่อได้สักกี่ส่วนกัน? แม้แต่ถามเจ้าก็ไม่ถาม กลับรีบผลักออกจากตัว หรือเจ้าจะรู้เบื้องหลังอะไรมา?”
มู่จิ่วพูดไม่ออกเหมือนสะอึก!
หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง เข้าไปใกล้พลางเอ่ย “คงไม่ใช่ว่าข้าเดาถูกเสียหรอกนะ?”
“ไม่ใช่แน่นอนเจ้าค่ะ!” มู่จิ่วรีบปฏิเสธ ใบหน้าแดงขึ้นมาเพราะความร้อนรน นางรีบอธิบาย “ข้าจะรู้เรื่องราวเบื้องหลังได้อย่างไรเจ้าคะ? เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว และข้าก็ไม่ได้ติดต่อกับหลินเจี้ยนหรูนานแล้วด้วย!”
“มิใช่ว่าแต่ก่อนพวกเจ้าสนิทกันดีหรอกหรือ? เจ้ายังเคยไปเกาะเป่ยอี๋เป็นเพื่อนเขา อีกคนหนึ่งก็เคยออกตัวรับเรื่องการตายของเฉินผิงแทน ทำไมถึงไม่ได้ติดต่อกันแล้วล่ะ?” แววตาของหลิวจวิ้นสว่างวาบราวกับคบเพลิง ท่าทางคล้ายอยากรู้เรื่องให้ถึงที่สุด “เหมือนข้าจะไม่ได้เห็นพวกเจ้าอยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ห่างเหินกันแล้ว? เพราะอะไร?”
มู่จิ่วไร้เรี่ยวแรงทัดทาน
มีหัวหน้าที่สอบสวนละเอียด บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ!
นางตอบ “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงแค่แต่ละคนต่างยุ่ง ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น จะเจอกันโดยที่ไม่มีธุระอะไรได้อย่างไร!”
“หากไม่มีอะไรทำไมถึงไม่รับคดีนี้?” หลิวจวิ้นยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
มู่จิ่วอยากให้ตัวเองมีลิ้นงอกขึ้นมาอีกสักหลายอันจริงๆ!
นางยิ่งพูดไม่ค่อยเป็น จะเป็นคู่ปรับเขาได้อย่างไร?
“หากเจ้าไม่มีเหตุผลอื่นแล้วก็จัดการเรื่องไปตามนี้ ในหน่วยงานก็มีกฎของหน่วยงาน เจ้าคิดว่านี่เป็นตลาดผักขายผักให้เจ้าเลือกได้อย่างนั้นหรือ! ข้าละเบื่อคนไม่รู้คุณอย่างเจ้าเสียจริง!”
หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง พูดเสียงแข็งก่อนเดินจากไป
มู่จิ่วอ้าปากจะเรียกเขาไว้ แต่อ้าปากอยู่นานก็ไม่รู้จะพูดอะไร จึงล้มเลิกไป
นางจะพูดอะไรได้อีก?
พูดเรื่องจริงออกมาเช่นนั้นหรือ?
สวรรค์ย่อมไม่สนว่าหลินเจี้ยนหรูทำไปเพราะเคยถูกทำร้ายในอดีต เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเป็นเซียน แต่หลินเซี่ยเป็นเซียนที่มีสมญานามแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนผู้หนึ่งฆ่าเซียน ทั้งยังเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของตนเอง ย่อมไม่ได้รับการให้อภัยแน่นอน หรือพวกเขาจะไปทำความเข้าใจว่าหลินเจี้ยนหรูได้รับความเจ็บช้ำมามากแค่ไหน?
ไม่แน่นอน!
แม้เขากับนางจะเห็นไม่ตรงกัน แต่ย่อมไม่ทำร้ายกันเด็ดขาด
นางถอนหายใจ มุ่งกลับไปยังหน่วยบัญชาการ
พวกจีหมิ่นจวินเดินเข้ามานานแล้ว กำลังนั่งทำหน้าเย็นชาอยู่ในหน่วย
และมู่จิ่วก็อารมณ์ไม่ดีเช่นกัน จะมองสีหน้านางได้หรือ?
นางเดินก้าวใหญ่ๆ เข้าไปด้านใน เมื่อไปถึงหลังโต๊ะทำงานก็โบกมือให้รองหัวหน้าบัญชาการ ส่งสัญญาณให้เขาเริ่มบันทึก
รองหัวหน้าบัญชาการก็สายตาดีมาก เมื่อเห็นแต่ละฝ่ายสีหน้าไม่ค่อยดี ก็รู้ว่าสักแปดส่วนต้องเกิดจากความบาดหมางส่วนตัว แน่นอนว่าต้องยืนอยู่ข้างมู่จิ่วอย่างไร้เงื่อนไข สองมือกอดพู่หางม้า เชิดหน้าขึ้นพูดว่า “ตามที่สหายจีได้อธิบายไว้ สามีของเจ้าหลินเซี่ยได้ตายไปสามปี ลูกสาวของเจ้าก็ตายไปสองปีกว่าแล้ว ในเมื่อเจ้าสงสัยว่าพวกเขาถูกฆ่า ทำไมถึงได้มาร้องทุกข์ล่าช้าเช่นนี้?”
“นั่นเป็นเพราะข้าเพิ่งรู้มาว่าหลินเจี้ยนหรูก้าวหน้าขึ้นมากในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองปี!” ตอนที่จีหมิ่นจวิ้นตอบ แววตาเคียดแค้นกลับพุ่งมายังมู่จิ่ว “คนผู้นี้ไม่ปกตินัก อีกทั้งข้ายังมองออกว่าพลังวิญญาณของเขาที่เพิ่มขึ้นมาไม่ได้เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ตอนสามีฆ่าตาย ในท้องเขาก็ไม่มียาเสริมพลังวิญญาณให้เลื่อนขั้นที่ใช้กันในสำนักของพวกเรา ข้าสงสัยว่าหลินเจี้ยนหรูเอาไป!”
มู่จิ่วเหลือบมองนาง สีหน้าไม่สบอารมณ์
นางเคยล่วงเกินพวกนางตอนไหน? แค่เพราะนางกับหลินเจี้ยนหรูใกล้ชิดกันหน่อยก็พุ่งเป้ามาทางนาง เห็นได้ว่าจิตใจของคนผู้นี้ผิดปกติ ก็เลยมองอะไรบิดเบี้ยวไปหมด
นางหยิบบันทึกที่รองผู้บัญชาการเขียนขึ้นมาดู ก่อนมองจีหมิ่นจวิน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหลินเจี้ยนหรูก้าวหน้ามาก?”
หรือเป็นตอนที่เขากลับสำนักแรกพยับคราวก่อน?
แต่กลับไปสำนักแรกพยับครั้งนั้นจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลานานแล้ว ทำไมนางเพิ่งมาเอาตอนนี้? และที่สำคัญ ถึงแม้นางรู้สถานการณ์แล้ว อันดับแรกมิใช่ว่าต้องบอกหัวชิงแล้วให้เขาจัดการหรือไร? ทำไมถึงมุ่งตรงมาร้องทุกข์ที่สวรรค์เลย? ถึงแม้ต้องการให้ทัพทหารสวรรค์จัดการ ก็ควรจะให้สำนักแรกพยับออกหน้ามิใช่หรือ?
นางปิดบันทึก มองไปทางจีหมิ่นจวิน
จีหมิ่นจวินพูดด้วยสีหน้าตึง “เมื่อคืนวานข้าเห็นเขาขี่เมฆกลับมาสำนักแรกพยับ!”
“แค่เรื่องนี้เช่นนั้นหรือ?” มู่จิ่วยิ้มเยาะ
“มิพอหรือ?” จีหมิ่นจวินกัดฟัน “ไม่เพียงเขาขี่เมฆบินกลับมา แต่หัวชิงยังนำคนจำนวนหนึ่งไปรับเขาถึงประตูสำนัก!”
“หัวชิงนำคนไปรับ?” มู่จิ่วขมวดคิ้ว คราวนี้ไม่อาจไม่มองนางได้ “หมายความว่าอย่างไร?”
จีหมิ่นจวินยิ้มเยาะ “ข้าได้ขึ้นสวรรค์มาร้องทุกข์แล้ว จะมีเหตุผลอะไรต้องโกหกกัน! หากเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ไปดูเองที่สำนักแรกพยับว่าตอนนี้หัวชิงยกย่องหลินเจี้ยนหรูอย่างไร?!”
หัวชิงยกย่องหลินเจี้ยนหรู?
นี่มีเหตุผลอะไรกัน? ครั้งก่อนเขากลับไปยังถูกหัวชิงลงโทษอย่างหนัก นี่เพิ่งผ่านไปเท่าไหร่เอง หัวชิงกลับนำคนออกมารับเขาถึงหน้าประตูสำนักแล้ว?
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” มู่จิ่วหน้าตึง “หลินเจี้ยนหรูทำอะไรอีก?”
จีหมิ่นจวินตอบ “เจ้าถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน!”
“หลายเดือนมานี้สำนักแรกพยับกำลังอยู่ในช่วงเลือกเจ้าสำนักคนใหม่ หัวชิงเลือกฉางหลิวเป็นผู้สืบทอด สองวันก่อนยังเรียกหูเจียงเต๋อศิษย์ของฉางหลิวกลับสำนักมา ไม่รู้หูเจียงเต๋อพูดอะไรบ้าง หัวชิงกลับมาสวรรค์ด้วยตนเอง หลังจากกลับไปก็ส่งข่าวไปยังยอดเขาบัวมรกต บอกให้จัดห้องพักใหม่ให้หลินเจี้ยนหรู!”
“ข้าไปยังยอดเขาขลุ่ยหยกเพื่อสืบหาความจริง หัวชิงกลับใส่อารมณ์กับข้าราวกับมาร ข้าคุยกับเขาด้วยเหตุผล เขากลับบอกให้ข้าอย่าสามหาว จากนี้จะให้ข้าทำความเคารพหลินเจี้ยนหรู! ตอนนี้นอกจากยอดเขาบัวมรกตแล้ว ทุกคนต่างก็เคารพหลินเจี้ยนหรูตามหัวชิง มองเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติกันทั้งนั้น!”
มู่จิ่วพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
นับตั้งแต่เขามาหานาง ตอนนี้ก็ผ่านไปสองสามเดือนแล้ว ในสองสามเดือนนี้หลินเจี้ยนหรูทำอะไร? ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาเคยเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุดในสำนักแรกพยับ ถึงแม้เป็นคนทั่วไปก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะผลักดันตัวเองไปอยูในที่สูงขนาดนั้นภายในเวลาสั้นๆ? หรือหังชิงถูกอาคมเข้า?
“เจ้าไม่ได้ไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้นหรือ?” นางถาม
“ข้าจะสืบเรื่องของเขาขลุ่ยหยกได้อย่างไร?” จีหมิ่นจวินกัดฟันพูด “หัวชิงเห็นข้าขัดหูขัดตามานาน ตอนสามีข้ายังอยู่เขาจะให้สามีข้าสืบทอดตำแหน่ง ผลคือตอนนี้หลินเซี่ยไม่อยู่แล้ว หัวชิงกลับลืมพวกเราแม่ลูก! ข้าคิดว่าเขาต้องมีส่วนรู้เห็นเรื่องการตายของสามีข้าสักแปดส่วน ไม่เช่นนั้นอยู่ๆ หลินเจี้ยนหรูจะก้าวหน้าไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?!”
…………………………………