ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 348 เจ้าคือจื่อเย่า?
มู่จิ่วมาถึงหงชางที่ยังคงเหมือนกับครั้งที่นางมาคราวก่อน ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นพื้นหญ้าเหี่ยวแห้งใบไม้ร่วงหล่น กระทั่งเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวกว่าเดิมภายใต้ลมหนาว
“ลู่ยา!”
นางป้องปากตะโกน เสียงสะท้อนไปทั่ว แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของเขา!
อาฝูก็ร้องคำราม แต่ไม่เห็นลู่ยาจะตอบกลับมา
หรือเขาจะไม่อยู่ที่นี่?
แต่นางเห็นเงาของหงชางสะท้อนอยู่บนกระจกในห้องเขา แถมช่วงนี้เขาก็สืบเรื่องนี้อยู่แน่นอน
นางครุ่นคิด ทั้งยังถลกแขนเสื้อขึ้นกระตุ้นดอกบัวทองที่แขน แสงทองที่เหมือนกับเมฆหมอกแผ่อบอวลบนภูเขา ไม่นานก็ครอบคลุมเขาทั้งลูก ก่อนจะขยายไปยังภูเขาข้างๆ
แต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว
หรือจะไปที่คลื่นจิตพสุธา?
แต่ถึงเขาจะอยู่ที่นั่น นางก็ไปไม่ได้
พลังบำเพ็ญเพียงแค่นี้ของนาง จะต้องถูกพลังที่นั่นสลายจนร่างกลายเป็นผุยผง
นางตะโกนอีกหลายครั้งอย่างไม่ยินยอม ก่อนจะถอดใจไป
…ช่างเถอะ กลับไปแรกพยับก่อนเถอะ
นางลูบๆ หัวอาฝู พุ่งขึ้นไปบนฟ้า เดินทางออกไป
จุ่นถีที่อยู่ภายใต้เขตพลังอำพรางของหงชางตกลงไปในหลุมไฟลึกขึ้นเรื่อยๆ สว่างไสวขึ้นทุกที ขี้เถ้าด้านในเริ่มพัดกลิ้ง เกิดเสียงปุปุขึ้นมา ถึงแม้จุ่นถียังไม่ถึงกับร่วงลงไปเพราะความกลัว แต่พลังวิญญาณที่คุ้มร่างอยู่กลับไม่กล้าผ่อนแม้แต่น้อย ไม่เพียงต้องระวังเรื่องนี้ เขายังต้องคอยรับมือลู่ยาด้วย
ส่วนทางด้านลู่ยา การขุดหลุมไฟนี้ต้องอาศัยพลังวิญญาณไปไม่น้อย ภาพนี้ดูไปแล้วก็ปกติ จะมีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่าเสี่ยงอันตรายขนาดไหน
“ถึงอาจารย์อาจะทำแบบนี้ไปตลอดชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ ข้าตอบไม่ได้จริงๆ” จุ่นถีอธิบายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมศิษย์ของเขาถึงตกหลุมรักคนร้ายกาจเช่นนี้ได้
“เช่นนั้นข้าจะลองทำแบบนี้ไปชั่วชีวิตดูก่อน”
ลู่ยานั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ พลางเล่นพู่ระย้าที่แขวนบนตะขอม่านด้านข้าง
“เจ้าน่ะ กำลังสนุกมากใช่หรือไม่?”
ขณะกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน ด้านหลังพลันมีเสียงเยียบเย็นดังขึ้น ลู่ยาได้ยินเสียงนี้ก็ชะงักไป จากนั้นพลิกตัวบนเก้าอี้ ก่อนลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “…ศิษย์พี่ใหญ่!”
คนที่อยู่ด้านหน้าสวมเสื้อสีเรียบง่ายแขนเสื้อกว้าง ครอบศีรษะทรงสูง ใบหน้าคมคายรูปร่างสูง ผมเงินยาวถึงเอว ดวงตาคมกริบราวกับใบมีด ริมฝีปากเย็นเยือกดุดันเหมือนเมื่อครู่เพิ่งถูกดึงขึ้นมาจากถ้ำน้ำแข็ง บวกกับท่าทางที่เหมือนอยู่กับความหนาวเย็นตลอดทั้งปี นี่ไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่หงจวินจู่ซือของเขาจะเป็นใครได้อีก?!
มิใช่ว่าเขาหายไปนานแล้วหรือ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?!
ลู่ยามองหงจวินจากนั้นมองจุ่นถี จุ่นถีเลิกคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร
“อาจารย์ไม่อยู่แล้ว เจ้าก็ทำตัวเหมือนไม่มีใครสั่งสอนเจ้าได้แล้วหรือ?” หงจวินเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาช้าๆ น้ำเสียงทั้งเย็นเยียบและเชื่องช้า แววตาคมกริบผ่าเขาจากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน ไม้พู่เคาะลงบนหัวเขาทันใด “ยังรออะไรอีก? รอให้ข้ามาช่วยคลายอาคมเจ้าหรือ?”
ลู่ยาสะบัดแขนเสื้อสลายอาคม แต่เขายังคงตกตะลึงอยู่!
คิดไม่ถึงเลยว่าหงจวินจะปรากฏตัวที่นี่ ปรากฏตัวมาได้พอดีขนาดนี้ อีกทั้งจุ่นถียังมีท่าทางเหมือนรู้มาก่อนด้วย…
เขา…หรือว่าพวกเขาติดต่อกันได้นานแล้ว?
หรือหงจวินก็คือ…จื่อเย่า!
หงจวินอาจจะเป็นจื่อเย่า?!
ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้างราวกับเห็นปีศาจ…ไม่ไม่ ถึงจะมีปีศาจเป็นพันตัวยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็จะไม่มองแม้แต่น้อย แต่หงจวินกลับทำให้เลือดลมเขาเดือดพล่าน น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่าน…”
“ไม่ผิด ข้าก็คือจื่อเย่าที่เจ้าตามหา” หงจวินนั่งลงบนเก้าอี้ มองเขาก่อนเอ่ย “เจ้ามีคำถามอะไรก็ถามมาเถิด”
ลู่ยารู้สึกเพียงว่าเลือดในอกจะทะลักออกมาแล้ว!
หงจวินไม่โกหกแน่ ลู่ยาเชื่อคำพูดเขา! มีเพียงหงจวินเท่านั้นที่จุ่นถีจะเชิญเข้ามาดื่มชาในห้องอย่างสนิทสนม มีเพียงเขาเป็นจื่อเย่าเท่านั้น ถึงจะสามารถสั่งให้จุ่นถีซ่อนตัวได้ทันที! เขายังคิดว่าจื่อเย่าจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก ไหนเลยจะคิดว่าจื่อเย่าคือศิษย์พี่ใหญ่ตน!
“พวกท่าน แท้จริงแล้วกำลังเล่นละครอะไรกันแน่?” เขากุมอกพลางถาม “ทำไมต้องซ่อนตัวจากข้า!”
เห็นเขาเป็นคนโง่หรือ?
“ซ่อนตัวจากเจ้า ก็แน่นอนว่าเพราะไม่อยากเจอเจ้า เจ้าคิดว่าจะเป็นเพราะอะไรได้อีก?” หงจวินเหลือบมองเขาเบาๆ จากนั้นรับชาที่จุ่นถีส่งมาให้ ไม่คิดจะไว้หน้าศิษย์น้องอย่างลู่ยาแม้แต่น้อย
“ทำไมถึงไม่อยากเจอข้า? ข้าทำผิดอะไร?” ลู่ยาเดินหน้าขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ กรุ่นโกรธยิ่งนัก
“เรื่องที่เจ้าทำผิดมีมากนัก” หงจวินตอบ “อย่างเช่นเมื่อครู่ อาจารย์สอนให้เจ้าปฏิบัติตัวเช่นนี้กับชนรุ่นหลังหรือ? พออาจารย์ไม่อยู่ เจ้าก็คิดว่าตนเองสามารถวางก้ามใหญ่โตได้ คิดจะทำอะไรก็ทำ?”
“ไม่ใช่เพราะว่าพวกท่านทำเกินไปหรือ?” ลู่ยาหน้าตึง “มีอะไรทำไมไม่พูดกันต่อหน้า? ทำไมต้องทำลับลับล่อล่อด้วย!”
หงจวินวางถ้วยชาลง ก่อนเอ่ย “หากเจ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าไปก่อนละ”
พูดแล้วก็ยืนขึ้น ถือพู่หางม้าเดินไปทางประตู
“ช้าก่อน!” ลู่ยาปราดเข้าไปขวางหน้า “ข้ายังพูดไม่จบ! แท้จริงแล้วชายชุดเขียวเป็นใคร? ทำไมถึงได้ฝึกพลังสายเสวียนหมิงได้? ทำไมข้าถึงถูกเขตพลังสายเสวียนหมิงของเขาขวางทาง? ที่คลื่นจิตพสุธาเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ชายชุดเขียวผู้นี้ก่อเรื่องไปทั่วเพราะตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?!”
หงจวินยืนอยู่ตรงม่าน เหลือบมองเขา “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ?”
“ต้องรู้ให้ได้!” ลู่ยายืนยันหนักแน่น
หงจวินหันกลับมานั่งลงที่เดิม วางพู่ลงบนโต๊ะ นิ้วมือเคาะบนโต๊ะเบาๆ ขณะมองเขา “เจ้าโง่ผู้นี้ ทำไมไม่คิดบ้างว่าบนโลกนี้ยังมีใครที่มีพลังเสวียนหมิงสูงส่งและลึกล้ำกว่าเจ้าอยู่อีก?”
ยอดคนก็คือยอดคน แม้แต่ด่ายังไม่จำเป็นต้องใช้คำหยาบแม้แต่น้อย สูงส่งเย็นชาและยังทำให้คนเคารพได้อยู่
ลู่ยาถูกด่าจนโกรธอยู่บ้าง เขาจะไม่รู้หรือว่าบนโลกนี้ไม่มีใครมีพลังเสวียนหมิงลึกล้ำไปกว่าเขาอีกแล้ว? แต่ตอนนี้มิใช่ว่ามีอยู่อีกคนหนึ่งหรือ!…ไม่!
เขาคิดถึงตรงนี้ก็พลันชะงัก คำที่คิดจะตอบโต้หงจวินก็ติดอยู่ที่ลำคอ…ไม่มีใครมีพลังเสวียนหมิงแข็งแกร่งกว่าเขาแล้ว ความหมายของหงจวินคือเขาไม่อาจถูกคนอื่นขวางได้ เขตพลังที่คลื่นจิตพสุธา…เป็นเขาเข้าใจผิดไป คนที่สร้างเขตพลังนั้น…แท้จริงเป็นเขาเอง?!
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…
ลู่ยาไม่ใช่ไม่เคยมีความคิดนี้เลย ตอนที่เขาคิดแทบตายแล้วยังคิดอะไรไม่ออก เขาก็เคยนึกถึงความเป็นไปได้นี้เช่นกัน แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาไปสร้างเขตพลังที่คลื่นจิตพสุธาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมตัวเขาเองยังไม่รู้? แล้วเขาทำเช่นนี้ทำไม?
“ท่านคงไม่ได้หมายความว่า เขตพลังที่คลื่นจิตพสุธาเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นเพื่อขวางตัวข้าเอง?”
ใจเขาขยับวูบไหวทันที หากเขาสร้างเขตพลังนั้นขึ้นมาเอง เช่นนั้นชายชุดเขียวเป็นใคร? และพวกหงจวินกำลังทำอะไรกันอยู่!
………………………