ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 349 มาดูความจริง
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” หงจวินมองเขา ดูไม่ได้อารมณ์ดี กระทั่งพูดได้ว่าโกรธกรุ่นอยู่หน่อยๆ
ลู่ยาหายใจติดขัดอยู่บ้าง เขาคาดเดาไว้อย่างหนึ่ง แต่ความจริงกลับเป็นอีกเรื่อง!
“เช่นนั้นชายชุดเขียวที่หลบซ่อนตัวอยู่ตลอดคือใคร? เขามีความสัมพันธ์เช่นไรกับอาจิ่ว!”
หงจวินทำมือท่าดอกกล้วยไม้ (หยักนิ้วกลางจรดนิ้วโป้ง) หยิบผลไม้เซียนบนถาดขึ้นมา ก่อนเอ่ยว่า “อธิบายให้เจ้าฟังเช่นนี้แล้วกัน เขตพลังที่คลื่นจิตพสุธาเป็นสิ่งที่ชายชุดเขียวสร้างขึ้น” พูดจบก็ละสายตาจากผลไม้มามองเขา ก่อนกล่าวอีก “ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเด็กสาวคนนั้น เจ้าลองเดาก่อน”
ลู่ยารู้สึกราวกับโดนสายฟ้าฟาด!
เขตพลังที่คลื่นจิตพสุธาเขาเป็นคนสร้าง และตอนนี้หงจวินก็บอกอีกว่าชายชุดเขียวสร้างขึ้น หรือเขาคือชายชุดเขียว?!
ลู่ยาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขาคิดอะไรไม่ออก! ตอนนี้เขาไม่เข้าใจแล้ว เขาคือชายชุดเขียว? ล้อเล่นอะไรกัน! เขาจะเป็นชายชุดเขียวได้อย่างไร? แน่นอน คาถาแยกร่างไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสร้างร่างแยกอีกคนขึ้นมาเลย จะสร้างสักกี่พันคนก็ไม่ยาก แต่ประเด็นคือเขาไม่รู้เรื่องนี้เลย!
หากเขาสร้างร่างแยกขึ้นมา เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร!
และยังมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมู่จิ่ว…
ลู่ยาคิดไม่ออก เขากับนางสนิทสนมกันมากก็จริง แต่นึกไม่ออกว่าก่อนเจอนางที่หงชาง พวกเขาเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือไม่ และตัวมู่จิ่วเองก็จำเขาไม่ได้ นอกจากจะมีชาติก่อนที่โลกมนุษย์ในช่วงเวลาสั้นๆ นางก็จำอะไรอย่างอื่นไม่ได้อีก ‘ชายชุดเขียว’ กับนางรู้จักกันได้อย่างไร?
แต่เดิมเขาคิดตามหาชายชุดเขียว ตั้งแต่เขาขุดคุ้ยภูมิหลังของมู่จิ่ว ทำให้หลีกเลี่ยงการระเบิดออกของพลังวิญญาณในร่างนางได้ แต่ตอนนี้หงจวินกลับบอกว่าเขาเป็นชายชุดเขียว! ยามนี้จะให้เขายอมรับได้อย่างไร?
“ศิษย์พี่ ระหว่างข้ากับอาจิ่วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เขาปากคอแห้งผาก ความโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่กลายเป็นกังวล
หากเขาคือชายชุดเขียว หากเขาที่เป็นชายชุดเขียวเคยมีวาสนากับอาจิ่วในช่วงเวลาสั้นๆ ทำไมนางถึงจำเขาไม่ได้เลย?
ตอนนางเจอชายชุดเขียว ทำไมถึงไม่รู้สึกอะไรเลย?
เขารู้สึกว่าตนเองหลงทางอยู่ในหมอก ไม่รู้เลยว่าจะเดินออกไปอย่างไร
“หากอยากรู้ก็ไปคลื่นจิตพสุธากับข้า”
หงจวินลุกขึ้น มองเขาอย่างล้ำลึก แล้วจึงออกจากประตูไปก่อน
ลู่ยาชะงักเล็กน้อย ก่อนรีบเดินตามไป
จุ่นถีก็ตามหลังไปเช่นกัน
แม้จากหงชางไปถิ่นทุรกันดารทางเหนือจะห่างกันแสนแปดพันลี้ แต่สำหรับพวกเขานับเป็นอะไรได้?
เพียงชั่วพริบตา คนทั้งสามก็มาถึงถิ่นทุรกันดารทางเหนือ
พื้นดินด้านหน้ายังคงเป็นที่ราบเรียบ ยังว่างเปล่าไร้สรรพสิ่งเช่นเคย ครั้นเดินผ่านพลังวิญญาณไปยังใจกลาง ประตูของคลื่นจิตพสุธาก็ปรากฏออกมา แสงสว่างในประตูทางซ้ายยังคงทิ่มแทงสายตา ส่วนทางด้านขวาก็ยังคงมืดมิดเหมือนเดิม
ลู่ยาเดินตามหงจวินเข้าประตูตรงกลางไป ไม่มีอารมณ์ดูว่าทิวทัศน์ที่นี่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนหรือไม่ คิดเพียงอยากจะไปให้ถึงที่หมายโดยไว แล้วฟังเรื่องราวที่หงจวินจะเล่า
ด้านในประตูคลื่นจิตพสุธามีทางเล็กทางน้อยมุ่งไปยังที่ห่างออกไป ที่ห่างไกลตรงนั้นมีวังหินเงียบเหงาเดียวดายตั้งอยู่ ทั้งหมดมีสามสิบหกเรือนสูงๆ ต่ำๆ ตำแหน่งจัดเรียงตามผังมงคลแปดทิศ ตำหนักหลักสูงที่สุด ด้านบนแขวนป้ายหินสลักคำว่าวิญญาณเทพเอาไว้
รอบวังหินไม่มีต้นไม้ใบหญ้าและสรรพสัตว์ ทั้งยังไม่มีกระทั่งเงาคน นอกจากหินก้อนใหญ่ๆ หลายก้อนนั้น ในครรลองสายตาก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว
ลู่ยาเคยชินกับความว่างเปล่าเช่นนี้จึงไม่สนใจอะไร หงจวินกลับหยุดยืนอยู่บนยอดสุดของบันไดหินตำหนักหลัก หันกลับมาถามเขาว่า “เจ้าเห็นที่นี่แล้วรู้สึกอะไรบ้างหรือไม่?”
ลู่ยาขมวดคิ้ว หันกลับไปมอง เห็นเพียงความแห้งแล้ง กระทั่งสีสันอื่นยังไม่มี รวมถึงพลังชีวิตด้วย เขาอดตอบไม่ได้ “กันดารนัก เดียวดายยิ่งนัก” ไม่รู้สึกอื่นใดอีกแล้ว ทุกครั้งที่เขามาที่นี่ก็เป็นเช่นนี้ ผ่านไปหมื่นพันปีก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
หงจวินมองเขาคราหนึ่งก่อนเดินต่อไปข้างหน้า เข้ามาในตำหนักหลัก
เพิ่งข้ามธรณีประตูไป โคมรอบด้านในโถงใหญ่ก็พลันสว่างขึ้น ทำให้ทั้งตำหนักสว่างไสว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกลับเป็นเพดานโค้ง มีผืนดาวแผ่ปกคลุมเหมือนกับโคมไฟ อีกทั้งมีจักรวาลมืดมิด มองไปราวไร้จุดสิ้นสุด
กลางตำหนักหลักมีกระถางหยกสามขาขนาดใหญ่ รอบกระถางหยกมีหยกฝังไว้ทั้งสี่ด้าน แต่ละด้านแกะเป็นรูปมังกรหยก เสือขาว วิหคแดง และเต่าดำ หงจวินเดินไปหน้ากระถาง ยื่นมือไปด้านบนนั้น สักครู่หนึ่งกลางกระถางพลันมีแสงสาดส่อง ค่อยๆ ทำให้ทั้งห้องโถงสว่างไสว ทิศเหนือของโถงมีบันไดปรากฏออกมา หงจวินเดินเข้าไปช้าๆ ลู่ยากับจุ่นถีและจื่อจิ้งตามเข้าไปเช่นกัน
นี่เป็นทางเดินที่ทอดยาว เป็นระเบียบแบบแผน มีเอกลักษณ์ดั้งเดิม มืดทึบ มองไม่เห็นปลายทาง ภายใต้แสงสว่างของผืนดาวจะเห็นเพียงภาพวาดธรรมดาๆ บนกำแพงเท่านั้น
เดินไปไม่รู้นานเท่าไหร่ก็พลันมาถึงปลายทาง เป็นตำหนักหินอันเย็นเยียบอีกหลัง
ในนั้นยังเห็นเพียงดาวที่ส่องสว่าง ตรงประตูมีกำแพงหยกขนาดใหญ่ ทางด้านตะวันออกมีแผ่นมงคลแปดทิศอันใหญ่ แปดทิศหกทางมีแนวหินวางเรียงราย แต่ละแนวหินล้วนมีลูกแสงที่แผ่พลังวิญญาณออกมา
ตำหนักหินนี้ธรรมดายิ่งนัก แต่กลับทำให้คนรู้สึกเต็มตื้นในใจ ราวกับเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายในใต้หล้า
“นี่คือทางเข้าคลื่นจิตพสุธา ศิษย์พี่พาข้ามาที่นี่ทำไม?” ลู่ยาไม่เข้าใจ
ผังแปดทิศทางตะวันออกคือที่เปิดประตูคลื่นจิตพสุธา และลูกแสงทั้งหกที่วางอยู่นั้นก็คือหกวิญญาณของที่นี่ พวกเขาทั้งสี่จะผลัดเปลี่ยนกันมาดูสักครั้งทุกๆ พันปี โดยเปิดประตูดูสภาพด้านในของคลื่นจิตพสุธาและวิญญาณทั้งหก
“เจ้าไม่ได้มาที่นี่นานขนาดไหนแล้ว?” หงจวินสะบัดแขนเสื้อเรียกชุดชาและเก้าอี้ออกมา ก่อนนั่งลงบนที่นั่งประธาน จากนั้นถามเขา
ลู่ยาครุ่นคิด “ราวๆ เจ็ดแปดพันปีแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าตำหนักนี้มีอะไรบางอย่างหายไป?”
ลู่ยามองไปรอบๆ ไม่คิดว่ามีอะไรหายไป “ปีนั้นอาจารย์สร้างตำหนักหินนี้ขึ้นมา ไม่ได้คิดจะมาอาศัยอยู่ ตำหนักวิญญาณเทพนี้มีเพียงของไม่กี่อย่างเท่านั้น มีอะไรที่หายไป?”
หงจวินมองไปยังหกวิญญาณ ก่อนถามอีก “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าพลังของพวกมันมีอะไรเปลี่ยนไป?”
ใจลู่ยาพลันกระตุก เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงลูกแสงส่องสว่างไปทั่วด้านจนสว่างเจิดจ้า หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนยังมีคลื่นพลังวิญญาณกระจายออกมา แต่พลังนั้นกลับไม่รุนแรงอย่างที่คิด ต่างจากในความทรงจำของเขา
“หกวิญญาณนี้มีอะไรเปลี่ยนไปรึ?” เขาถาม
หงจวินตอบ “วิญญาณทั้งหกยังคงเป็นวิญญาณของหกภพ ไม่ได้เปลี่ยนไป พลังของพวกมันจะเพิ่มขึ้นเท่านั้นไม่อาจลดลงได้ ทั้งยังเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา พลังวิญญาณที่สมบูรณ์ยังสามารถสร้างพลังวิญญาณใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าออกมาได้อีกด้วย”
ตอนนี้เองที่ลู่ยาเข้าใจ
เขาพบเจอเรื่องที่พลังวิญญาณในฟ้าดินให้กำเนิดร่างใหม่ขึ้นไม่น้อย อย่างเช่นวิญญาณต้นกำเนิดเช่นพวกเขาทั้งสี่ ก็เป็นผลมาจากพลังวิญญาณในฟ้าดินทั้งสิ้น เขาถาม “เช่นนั้นทำไมถึงไม่เห็นเค้าลางเลย?”
“แต่เดิมก็มีอยู่” หงจวินกอดพู่หางม้ามองเขา “และยังกำเนิดมาได้สำเร็จด้วย เพียงแต่หลังจากนั้นหมื่นปี นางก็ตายด้วยเงื้อมมือเจ้า”
“ตายด้วยเงื้อมมือข้า?!”
ลู่ยาตกตะลึง ทั้งยังเป็นหลังจากนั้นหมื่นปี?
กรามของหงจวินเกร็งเล็กน้อย เขาเหลือบมองลู่ยาคราหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อไปยังแผ่นหยกที่ประตูด้านหน้า แสงสว่างพลันปรากฏวูบไหว จากนั้นก็ค่อยๆ มีภาพลอยขึ้นมา
แต่ลู่ยาพลันล้มลงหมดสติไปในตอนนั้น…
………………….