ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 351 เจ้าช่างหล่อเหลาเสียจริง
นางมีความสามารถควบคุมหกวิญญาณ เนื่องเพราะรวมความสามารถของหกวิญญาณไว้ด้วยกัน ดังนั้นผลจากพลังวิญญาณของนางจึงยังเหนือกว่าหกวิญญาณเสียอีก
“ไม่เร็วนักหรอก” หนี่ว์วาเดินเข้ามาพูด “เทพหญิงเริ่มถือกำเนิดเมื่อหลายแสนปีก่อน หมื่นปีก่อนก็เกิดเป็นรูปร่างแล้ว ข้าคำนวณไว้ว่าควรจะมาจุติตั้งแต่เมื่อห้าสิบปีก่อน คิดไม่ถึงว่าจะยืดเยื้อมาอีกห้าสิบปี”
ลู่ยาลูบคาง ไม่มีความเห็นอะไร อย่างไรหากเขาว่างก็คือว่าง ไปก็ไปเถิด
เขาเก็บกำแพงศักดิ์สิทธิ์ เตรียมตัวออกเดินทาง
หนี่ว์วาไปส่งเขาที่หน้าประตู “เจ้าต้องรอให้เทพหญิงควบคุมพลังเป็นก่อนถึงจะกลับมาได้”
“ข้ารู้แล้ว”
เขาขึ้นเมฆไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
อาศัยเวลาเพียงชั่วกินผลไม้ผลหนึ่ง เขาก็มาถึงคลื่นจิตพสุธา
พวกเขาสี่คนมาที่นี่ทุกพันปี นี่เป็นเรื่องซึ่งวางแผนไว้แล้ว หากระหว่างนั้นเกิดเรื่องแล้วต้องมาจะไม่นับ
ในเมื่อมีหน้าที่อยู่จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ แต่ถ้าพูดจากใจจริงเขาก็ไม่อยากมา
เพราะที่นี่กันดารไม่มีคน เงียบสงัดนัก ไม่น่าอยู่จริงๆ และโดยพื้นฐานเขาก็ชอบเดินภูเขาเล่นน้ำ หลงใหลทิวทัศน์สวยงามมากกว่า
เขาเดินโงนเงนตรงไปตำหนักวิญญาณเทพ ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในประตู พลังวิญญาณด้านในก็หลั่งไหลออกมาทำให้เส้นผมของเขาพลิ้วไหว
พอเข้าไปดูด้านใน ตรงกลางห้องโถงที่ว่างเปล่าถูกเติมเต็มด้วยพลังวิญญาณ แสงสว่างสะท้อนไปทั้งสี่ทิศ ไอมงคลแผ่ออกไปรอบด้าน และต้นกำเนิดของพลังวิญญาณนี้ก็มาจากวิญญาณทั้งหกบนกำแพงฝั่งตะวันออก ปลายสุดของพลังเหล่านั้นคือลูกแสงสว่างขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
แสงลูกกลมนั้นมีลักษณะคล้ายรังนก รอบๆ เห็นแค่เพียงเส้นของ ‘เส้นหญ้า’ แต่ ‘เส้นหญ้า’ กลับอัดแน่นด้วยรากฐานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ พวกมันถักทอขึ้นอย่างแน่นหนาจนกลายเป็นรังนกขนาดใหญ่
รังนกนี้หมุนอยู่กลางอากาศอย่างเชื่องช้า บางครั้งก็เกิดประกายฟ้าแลบฟ้าร้อง แม้ไม่ถึงกับรุนแรงอะไร แต่ก็ดูออกได้ว่าเทพหญิงใกล้จะออกมาจากรังนกแล้ว
ลู่ยาเรียกตั่งเบาะนิ่มออกมานั่งขัดสมาธิ การรอครั้งนี้กินเวลาสามวันสามคืน
รังนกนี้ก็หมุนอยู่ในสายตาเขาถึงสามวันสามคืนเช่นกัน แต่ภายในช่วงเวลานั้น ด้านนอกวังกลับไม่สงบ มีเสียงนกร้องขับขาน บินว่อนเต้นรำ พระอาทิตย์พระจันทร์เจิดจ้าพร้อมกัน ไอมงคลกำจายไม่หยุด ทั่วทั้งฟ้าดินร่วมยินดีกับการมาจุติของเทพหญิง
แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะหมุนไปอีกนานเท่าไหร่ และพูดตามตรง เขาก็มึนอยู่บ้างเหมือนกัน
ดังนั้นลู่ยาจึงตัดสินใจงีบรอ อันที่จริงก็แค่มาสอนนางควบคุมพลังเท่านั้น
แต่เพิ่งหลับตาลง ทันใดนั้นสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมา! ตามด้วยครั้งที่สองและสาม ต่อเนื่องกันจนครบสามสิบหกครั้ง! จากนั้นพลังวิญญาณในห้องก็กระเพื่อมไหวรุนแรงขึ้น คลื่นนั้นเกือบทำให้เขากลิ้งไป! แต่แน่นอนว่าเขาไม่กลิ้งไปง่ายขนาดนั้น เขายังไม่ทันได้ใช้อาคมด้วยซ้ำ
เขาแปะยันต์สงบใจไว้บนรังนกวิญญาณสองแผ่น ไม่นานนักพลังนั้นก็สงบลง
ผ่านไปอีกสักครู่หนึ่ง เสียงคำรามของสายฟ้าก็เงียบลง แสงสว่างสาดส่องออกไปทางหน้าต่าง พื้นดินที่กันดารเวิ้งว้างด้านนอกพลันมียอดอ่อนสีเขียวผุดขึ้นมา! ยอดอ่อนนี้เริ่มผุดเรียงรายข้างชายคา จากนั้นแตกหน่อ ออกดอก งอกเงยสูงขึ้น ผ่านไปราวครึ่งวันก็มีกลิ่นของดอกไม้ลอยเข้ามา! ดอกไม้นานาชนิดงอกเงยอยู่ข้างนอกตำหนัก ต้นไม้ใบหญ้าก็กำลังเติบโตในความเร็วระดับที่สายตามองเห็นได้
“ปัง!”
ลู่ยากำลังดมกลิ่นดอกไม้ ก็พลันมีเสียงดังขึ้นมาจากด้านใน
ช่วงที่ดอกไม้บาน พลังวิญญาณทั้งหมดกลับไปที่เดิม เวลานี้กลางห้องโถงเหลือเพียงรังนกเท่านั้น!
เสียงปังที่ดังขึ้นมาเป็นเสียงของรังนกที่ตกลงพื้น ลู่ยามองไป เห็นว่าบนยอดรังนกค่อยๆ มีศีรษะโผล่ออกมา ตามด้วยดวงตาโตสีขาวดำตัดกันชัดเจนที่ปรากฏขึ้นพลางกะพริบปริบๆ
จากนั้นมือที่สะอาดหมดจดราวกับหยกขาวก็เกาะขอบรังนกไว้เบาๆ ดวงตาทั้งสองหลบอยู่ด้านใน มองไปรอบๆ อย่างช้าๆ ก่อนจะมาหยุดที่ใบหน้าของลู่ยา สบตากับเขาแล้วกะพริบ
ตอนที่ดวงตาคู่นั้นเปิดออก ราวกับรวมรวบแสงสว่างทั้งหมดบนโลกนี้เข้าไว้ด้วยกัน
เพียงกะพริบตาก็เหมือนแยกเขากับสรรพสิ่งบนโลกออกจากกันได้
ลู่ยาก็กะพริบตาใส่นาง พอนางกะพริบ เขาก็กะพริบอีก
เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากรังนก ดวงตาคู่นั้นยกโค้งขึ้น รังนกเอนเอียงลง หญิงสาวที่ผมยาวระพื้นกระโดดออกมา ร่างกายของนางเปลือยเปล่า นางลากผมดำที่งดงามราวไหมเดินตรงเข้ามาหาลู่ยา มองหน้าเขานิ่งๆ อยู่หลายวินาที ดวงตาส่องประกายสดใส “เจ้าช่างหล่อเหลาเสียจริง!”
สายตาของลู่ยาที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในระดับเดียวกับทรวงอกนางพอดี ทั้งตัวเขาเกือบจะระเบิดออกมาแล้ว!
เขาไม่คิดเลยว่าก่อนถือกำเนิดนางจะเป็นสาวน้อยเต็มวัยได้ขนาดนี้! ทั้งยังเป็นสาว…ปีศาจสาวร่างเปลือยเปล่าที่เติบโตขึ้นอย่างดี!
ใบหน้าเขาร้อนเห่ออยู่สามวินาที วินาทีที่สี่เขาถึงถอดเสื้อคลุมบนร่างออกมา ห่อร่างนางไว้ราวกับห่อบ๊ะจ่าง
“เจ้าพูดได้?” เขากดเลือดลมที่เดือดพล่านลงไป ถามด้วยน้ำเสียงเครียดขรึมกว่าปกติมาก
“พูดได้คืออะไร?” นางก้มหน้ามองร่างกายที่ถูกห่อจนมิดชิด ก่อนเงยหน้าขึ้นถามเขา
“ก็คือเหมือนกับข้าเช่นนี้” ลู่ยาชี้ลำคอตัวเอง “ข้ากับเจ้ากำลังออกเสียง นี่คือการพูด”
เทพหญิงพยักหน้าทันที สายตามองที่คอของเขา จากนั้นมองหน้าอก แล้วก้มหน้ามองตนเอง นางพลันยื่นมือเกลี้ยงเกลาออกจากเสื้อคลุมที่ห่อไว้แน่นหนามาลูบลำคออีกฝ่าย มือของนางหยุดอยู่ที่ลูกกระเดือกลู่ยา ก่อนค่อยๆ ลูบเลื่อนลงมาตามลำคอ กระดูกไหปลาร้า และหน้าอก
ตอนที่นางคิดจะเลื่อนมือลงไปอีก ลู่ยาก็จับมือนางไว้ “สามหาว!”
“สามหาวคืออะไร?” นางเงยหน้าขึ้น มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ลู่ยาไม่รู้ว่าจะพูดกับนางอย่างไร
หนี่ว์วาไม่เห็นบอกเขาเลยว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้ จะจัดการอย่างไรดี?
นางเป็นหญิงที่เกิดจากหกวิญญาณ พูดได้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นอกจากพูดได้แล้วนางกลับทำอะไรไม่เป็นเลย นอกจากพูดได้ตั้งแต่เกิด นางไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาพูดสักนิด หนี่ว์วายังให้เขาสอนนางควบคุมพลัง นั่นน่ะจะสอนอย่างไร? สอนทีละคำหรือ?
เขาพลันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
หากรู้มาก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ เขาคงจะให้หุนคุนมาแทน!
เรื่องสั่งสอนเด็กสาวเนี่ย หุนคุนถนัดที่สุดแล้ว!
“สามหาวคืออะไร?” นางถามเขาอย่างไม่ลดละ แต่สายตากลับเอาแต่จ้องมองไปยังส่วนที่ถูกเสื้อผ้าปิดบังของเขา
ลู่ยากระชับเสื้ออย่างพูดไม่ออก ก่อนยืนขึ้น “วันหลังข้าจะสอนเจ้า ตอนนี้ตามข้าไปยังที่พักก่อน”
เทพหญิงขมวดคิ้วครุ่นคิด พิจารณาคำว่าที่พัก
ลู่ยาจนปัญญา ดึงนางขึ้นมาแล้วพาเดินออกไปอย่างเหนื่อยหน่าย
ท่าทางแบบนี้ คงจากไปไม่ได้ในเวลาอันสั้น
ดีที่สถานที่กว้างใหญ่ อยู่กันสองคนไม่เป็นปัญหา
ลู่ยาเลือกเรือนทางทิศตะวันตกของตำหนักวิญญาณเทพ ก่อนอื่นก็สร้างหญิงรับใช้ขึ้นมา ให้ทำความสะอาดทั้งด้านนอกและใน แล้วจึงสร้างเครื่องเรือน โต๊ะเก้าอี้เตียงตู้ คิดดูแล้วหลังจากนี้ที่นี่คงเป็นบ้านของเทพหญิงนางนี้ เมื่อมองในระยะยาวแล้วจึงได้เปลี่ยนจากภาพมายาเป็นของจริง
ตอนที่จัดการงานเหล่านี้ เทพหญิงเดินตามหลังเขา ถึงแม้นางจะยังไม่รู้เรื่องแต่กลับฉลาดเฉลียวนัก ชื่อเครื่องเรือนที่ลู่ยาเอ่ยออกมาเมื่อผ่านหูแล้วก็ไม่ลืม เขาบอกนางว่าหลังจากนี้ต้องอยู่ที่นี่ ที่นี่คือบ้านของนาง นางต้องทำอะไรบ้าง นางก็ฟังเข้าใจสักเจ็ดแปดส่วน ดังนั้นเมื่อผ่านไปครึ่งวัน นางก็รู้เรื่องเทียบเท่ากับเด็กห้าขวบแล้ว
………………………….