ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 352 มานอนกับข้า
เมื่อถึงยามพลบค่ำก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง
เหล่าหญิงรับใช้ทนพลังของคลื่นจิตพสุธาไม่ไหว ต่างก็กลายร่างกลับเป็นนกไปนานแล้ว
เรื่องที่เหลืออยู่ได้แต่ให้ลู่ยาจัดการ
ยามค่ำคืนเขาพานางมาที่ห้องของตนเอง เหล่าหญิงรับใช้ที่แยกไปแล้วเตรียมเสื้อคลุมไว้ให้เรียบร้อย เขาสอนนาง “สิ่งนี้ไว้ใส่บนตัว อันนี้คือกระโปรง อันนี้สายคาดเอว ส่วนนี่คือปิ่นปักผม และนี่คือต่างหู ส่วนนี่คือกำไล เจ้าชอบอันไหนก็ใช้อันนั้น” สิ่งของทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาเลือกมาแล้ว แต่ไม่แน่ว่าจะต้องถูกใจนาง
เทพหญิงมองเสื้อในมือซ้าย ก่อนมองกระโปรงในมือขวา “ทำไมต้องใส่เสื้อผ้า?”
ลู่ยาจนปัญญา ก่อนตอบว่า “เพราะร่างเปลือยเปล่าไม่น่าดู”
“ทำไมต้องน่าดูด้วย?”
“เพราะคนมียางอาย” เหงื่อของลู่ยาซึมออกหน้าผาก
เทพหญิงนิ่งไป “เช่นนั้นข้าไม่ต้องการรักษาหหน้า ข้าไม่ใส่เสื้อผ้าได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!” ลู่ยาระเบิดโทสะ ทว่าไม่อาจไม่สะกดกลั้นอารมณ์ “ทุกคนต้องสวมเสื้อผ้า ยกเว้นแต่ก็ตอนอาบน้ำเท่านั้น”
เทพหญิงจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมที่ห่อหุ้มร่างอยู่ออก
ลู่ยาหลับตาหมุนตัวไป แต่จะมีประโยชน์อะไร? เสียงสวบๆ สาบๆ ตอนที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าดังเข้ามาในหูอยู่ดี เหมือนกับเปิดตาดู ไม่ต่างอะไรกันเลย คลื่นจิตพสุธานี้ไม่ใช่ว่าใครคิดจะมาก็มาได้ มิฉะนั้นแล้วเขาคงเรียกเหล่าหญิงรับใช้มาดูแลนางแล้ว อีกทั้งบนร่างนางยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นดอกไม้นานาชนิด นี่ยิ่งทำให้ใจคนปั่นป่วน
ลู่ยารู้สึกว่าตนเองได้ตัวปัญหามา แต่เขาก็จากไปไม่ได้ เพราะถ้าไปเขาก็กลัวว่านางจะแก้ผ้าวิ่งไปด้านนอก
ถึงแม้ที่นี่จะมีพวกเขาเพียงสองคน ไม่กลัวใครอื่นจะมาเห็น แต่หญิงสาวคนหนึ่ง…ทั้งยังเติบโตมาดีเยี่ยมเช่นนี้ เป็นหญิงสาวที่ผิวพรรณงดงาม…ทันใดนั้นเขาก็พลันคิดถึงภาพก่อนหน้านั้นอีก จินตนาการถึงแล้วช่างทำให้คนจนคำพูดจริงๆ
“ข้าสวมเสร็จแล้ว”
ลู่ยาถอนหายใจ สักพักจึงค่อยหันกลับไปเปิดตา เพียงเห็นก็ตกตะลึง
เขายังคิดว่านางที่เป็นเช่นนี้ต้องมือเท้างุ่มง่าม สวมอะไรกลับที่กลับทาง เขาเตรียมใจสอนนางใหม่อีกครั้งอยู่แล้ว แต่นางที่อยู่ตรงหน้ากลับสวมเสื้อได้อย่างไม่ผิด กระทั่งสายคาดเอวยังสวมได้พอดิบพอดีนัก ถึงแม้สาบเสื้อจะยังเบี้ยวเล็กน้อย ชายกระโปรงเฉียงไปหน่อย แต่สำหรับคนที่สวมเสื้อครั้งแรกก็นับมาดีมากแล้ว
“เจ้าสวมเสื้อได้เก่งแบบนี้ได้อย่างไร?” เขาถามอย่างตกตะลึง
“เมื่อครู่ข้าเห็นว่าพวกหญิงรับใช้ล้วนแต่งตัวแบบนี้” นางตอบพลางก้มหน้ามองตนเอง
ลู่ยาดีใจจริงๆ
คิดไม่ถึงว่าเทพหญิงผู้นี้จะฉลาดเฉลียวเช่นนี้!
เช่นนี้แล้ว ใช้เวลาไม่นานเขาคงจะจากไปได้
“ดีมาก” เขามองนาง สายตาตกลงไปยังปลายเท้าขาวเกลี้ยงเกลาราวไข่มุกคู่หนึ่งที่ใต้กระโปรง เอ่ยว่า “ตอนนี้ขาดรองเท้าอีกคู่หนึ่ง” พูดจบเขาก็ยื่นมือออกมาคว้าอากาศ รองเท้าต่างสีปักลายเมฆสามสี่คู่ปรากฏขึ้นมาบนมือเขา “เจ้ามาดูว่าชอบคู่ไหน”
เทพหญิงมองเท้าเขา เลือกสีที่เหมือนกับรองเท้าเมฆสีรุ้งที่เขาใส่
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราต้องทำอะไร” นางถามหลังจากสวมเสร็จแล้ว
“นอน”
ลู่ยาพูดพลางเดินออกไปข้างนอก เดินไปหลายก้าวก็รู้สึกเหมือนด้านหลังมีหางอยู่ เมื่อมองไปกลับเห็นนางเดินตามมา จึงพูดว่า “เจ้าตามข้ามาทำไม?”
“จะนอนกับเจ้า” เสียงของนางหวานราวกับน้ำพุตามธรรมชาติ
ลู่ยาชะงัก หันมาเอ่ยว่า “ข้าหมายความว่าเจ้านอนห้องเจ้า ข้านอนห้องข้า”
เทพหญิงมองไปตามทิศที่เขาชี้ มองสิ่งที่ขวางกั้นห้องทั้งสอง ก่อนพูด “ข้าอยากนอนกับเจ้า”
“ไม่ได้!” ลู่ยาปฏิเสธ
แต่เพิ่งพูดจบนางกลับกระทืบเท้า!
แรงกระทืบนี้ทำให้รอบด้านตำหนักหินสั่นไหว!
“ข้าไม่อยากนอนกับเตียง ข้าอยากนอนกับเจ้า”
นี่มันตรรกะอะไรกัน!
ลู่ยายังไม่ทันได้ตอบอะไร ก็ถูกนางลากกลับห้องไป
เมื่อครู่ยังเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ว่านอนสอนง่ายอยู่เลย ตอนนี้กลับกลายเป็นวางก้ามเอาแต่ใจ!
ลู่ยาเพิ่งนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของนางขึ้นมาได้ จึงรีบพิจารณานางโดยละเอียดถี่ถ้วน เห็นเพียงใบหน้าราบเรียบปราศจากความโกรธ เหมือนกับตั้งใจและสงบอยู่ตลอดเวลา ราวกับไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนสำเร็จราบรื่นไม่มีขวากหนาม ใบหน้ากระจ่างของนางนี้ ไม่ว่าจะใส่คุณลักษณะอะไรลงไปก็ไม่แปลกแม้แต่น้อย!
ลู่ยาไม่กล้าลงมือกับนาง พลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของนางยากจะจินตนาการได้ หากต้องปะทะกัน ไม่เจ้าบาดเจ็บก็ข้าบาดเจ็บ ประเด็นคือใครเจ็บก็ไม่ดีทั้งนั้น!
เขาเลือกที่จะประนีประนอม ตามนางเข้าห้องไปอย่างว่าง่าย
เมื่อมาถึงหน้าเตียง เทพหญิงลากเขาเขาก็ไม่ขยับแล้ว นางยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันมาถาม “นอนนี่ต้องนอนกันยังไง?”
ลู่ยาสะกดกลั้นไม่ให้กระอักเลือด ชี้ไปที่เตียง “เจ้าขึ้นเตียงไปก่อน จากนั้นนอนลงไป”
เทพหญิงลากเขาไปที่หน้าเตียง “เจ้านอนให้ข้าดูก่อน”
ลู่ยารู้สึกเหมือนตนเองถูกแม่เสือสาวลากตัวขึ้นเขาเอามาทำสามี เขารับคำแล้วขึ้นเตียงไป นั่งลง จากนั้นก็เอนนอนลงไป แสดงให้นางดู “ทำแบบนี้”
เทพหญิงพยักหน้า เคลื่อนตัวเข้ามาที่หน้าเตียง แล้วขึ้นมานอนทับบนตัวเขา
ลู่ยาแทบจะกระอักเลือดออกมา…แล้วนี่จะนอนได้อย่างไร?
เขาลุกขึ้นมาจากใต้ร่างนางอย่างจนคำพูด ตบหมอนที่ข้างตัว “ไม่ใช่นอนแบบนั้น คนต้องนอนบนเตียง ไม่สามารถนอนบนตัวคนได้ เจ้าไม่ใช่นักกายกรรม”
เทพหญิงเชื่อฟัง ลงมานอนข้างเขา นอนไปครู่หนึ่งนางก็พลันหันตัวมาเขยิบเข้ามาใกล้ เอาหัวหนุนอกเขา กอดก่ายเอวเขาไปครึ่งตัว “ข้าชอบเล่นกายกรรมกับเจ้า” เสียงของนางเจือด้วยความบริสุทธิ์โดยธรรมชาติ ไม่มีจริตจะก้าน เป็นครั้งแรกที่ลู่ยาไม่รังเกียจผู้หญิง
เขาจนปัญญาจริงๆ
โตขนาดนี้เพิ่งเคยนอนร่วมเตียงกับหญิงสาว
แน่นอนว่ามีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่สอง นับแต่นั้นมา ร่างของเขาก็กลายเป็นหมอนให้นางหนุน ตอนกลางวันเขาทำตัวเป็นจอหงวนสอนเรื่องในชีวิตประจำวันให้นาง ส่วนกลางคืนถูกนางใช้เล่นกายกรรม ยามตะวันโผล่จากฟ้าหรือพลบค่ำ เขาก็จะพานางออกไปรู้จักดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ดูฟ้าผ่าฝนตก
ไม่รู้นางมองเขาเป็นอะไร เงาตามตัวหรือมารดา แต่ก็เดินตามติดเขาทุกฝีก้าว
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ใช่คนยอมคน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางกลับถูกขัดเกลาจนแม้แต่ความโกรธก็ไม่มีแล้ว
ทว่าความฉลาดเฉลียวของเทพหญิงนั้นเห็นได้ชัดมาก
ผ่านไปสิบวัน สติปัญญาของนางก็เทียบเท่ากับคนธรรมดาอายุสามสิบปี เดือนหนึ่งผ่านไป นางมีสติปัญญาของคนอายุสองร้อยปี และผ่านไปอีกหลายเดือน สติปัญญาของนางอยู่ราวๆ คนอายุพันกว่าปี นอกจากไม่เคยออกไปเผชิญโลกกว้างแล้ว นางเข้าใจอักษรโบราณที่เกิดขึ้นในแสนปีนี้ได้ทั้งหมด และก็รู้ที่มาที่ไปของเก้าทวีปสี่ทะเลจนถึงการแบ่งแยกฟ้าดิน
แน่นอน เรื่องแรกสุดที่ลู่ยาสอนนางคือที่มาที่ไปของตัวนางเอง รวมถึงอาคมและภาระหน้าที่ของนาง จากนั้นค่อยเล่าประวัติศาสตร์เก่าแก่ของการกำเนิดสวรรค์พิภพให้นางฟัง
เพียงได้เห็น เทพหญิงก็จะไม่มีวันลืม เขาพูดตรงไหนนางก็จำได้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรง แน่นอนบางครั้งนางก็ไม่เข้าใจเพราะเป็นการพูดแบบกางตำรา แต่โดยพื้นฐานทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสนทนากันแล้วไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
……………………….