ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 356 ชอบข้าหรือไม่
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยได้ยินนางทำเสียงทุ้มต่ำแบบนี้มาก่อน และบางทีอาจไม่ได้แค่ทุ้มต่ำ แต่ยังทั้งเหนื่อยอ่อนและเจ็บปวด
ยามค่ำคืนนางกลับไปที่คุนหลุนตะวันออก
ไปบอกลาหลินเจี้ยนหรู
นางเข้าใจเรื่องราวความสัมพันธ์ของมนุษย์แล้ว รู้ว่าคนที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกันต้องรู้จักบอกลากัน
คนที่นางเคยพบเจอต่างก็มีตำแหน่งในใจนางต่างกันไป
แต่ตอนนางกลับไปที่เรือนกลับพบหลินเจี้ยนหรูที่กำลังเตรียมกำลังพลไปชำระล้างหนี้เลือดที่เขาเซียน
นางฆ่าเขา
“ข้า ที่จริงข้า ข้าอยาก…”
หลินเจี้ยนหรูทิ้งคำพูดไว้เพียงครึ่งหนึ่ง
ที่แท้แล้วเขาอยากจะทำอะไร ไม่มีใครรู้
นางไม่ลังเลแม้แต่น้อย ฝ่ามือเดียวโจมตีเขาจนวิญญาณแตกซ่าน
แต่กลับไม่รู้สึกผิด
ขอเพียงนางอยากรู้ ไม่ว่าเรื่องใดที่เขาเคยกระทำมาก็ไม่สามารถปิดบังนางได้เลยสักเรื่องเดียว
เจ้าสำนักเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ เดิมทีก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมรากฐานมาร ความปราถนาของเขาคือตามหาจิตเดิมของมารดาที่ถูกบิดาทำลายไปกลับคืนมา จากนั้นละทิ้งสำนักมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียร แต่ขณะที่เขากำลังเสี่ยงภัยเข้าไปขโมยของวิเศษของสำนักกลับถูกบิดาพบเข้า เขาฆ่าบิดาและน้องสาวตัวเอง เดินทางผิดตั้งแต่นั้นมา เขาตัดรากฐานเซียน กระทำเรื่องชั่วช้า เคยกระทั่งสังหารชายหนุ่มสามพันคนในเมืองแห่งหนึ่งภายในคืนเดียว
หลังจากหลินเจี้ยนหรูตายนางก็อยู่ที่คุนหลุนตะวันออกอีกสามวัน
รดน้ำดอกไม้ให้อาหารนกเหมือนเดิม เวลาที่เหลือก็ปลูกดอกไม้ไว้บริเวณหลุมศพของหลินเจี้ยนหรู
เมื่อครบสามวันนางก็กลับไปยังคลื่นจิตพสุธา
ลู่ยามองนางยืนอยู่ที่ประตู สะกดกลั้นความขมขื่นในอกเดินกลับเข้าห้องไป
เขาเพียงจุดกำยาน นางก็เดินเข้ามาแล้ว
“กลับมาแล้วหรือ?” เขาหันหลังให้นาง พยายามพูดอย่างเป็นปกติที่สุด
นานนักกว่านางจะเอ่ย “ใช่แล้ว กลับมาแล้ว”
ออกไปข้างนอกสักระยะ นางรู้จักควบคุมอารมณ์แล้ว แต่นางที่เป็นเช่นนี้กลับทำให้เขาเจ็บปวดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เขาหันกลับมาจับจ้องลู่จี นางยังคงไม่เป็นส่วนหนึ่งของโลก แต่อารมณ์ในแววตากลับมากมายขึ้น
นางได้กลายเป็นเซียนหญิงที่เติบโตแล้ว
“ข้าเก็บส้มที่หลิงหนานมาให้เจ้า”
นางฝืนยิ้มออกมา คล้ายกับกลายร่างเป็นหิน นิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย
ลู่ยาเดินเข้าไปดึงลู่จี พาเดินเข้าไปในห้องนาง
ในห้องมีส้มสดขนาดใหญ่สีแดงอยู่หนึ่งถาดใหญ่
เขาหยิบขึ้นมาปอก แกะเป็นกลีบๆ ให้นาง
เขาเห็นเองกับตา ดวงตานางมักจะส่องประกายเสมอยามที่กินส้มลูกใหญ่ตอนอยู่บนโลกมนุษย์
น้ำตาของนางไหลลงมาเป็นหยด ร้องราวกับเป็นเด็กน้อยที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับโลกกว้าง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบกินส้ม”
“ข้าชอบเจ้า แน่นอนว่าย่อมต้องรู้”
นางพุ่งเข้ามาในอกเขา น้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มคอเขาไปหมด
แต่ก็ไม่รังเกียจ บางทีคนมีความรัก คงไม่มีคำว่ารังเกียจอยู่กระมัง?
“เจ้าชอบข้าหรือไม่?”
“แน่นอน”
ลู่จีกลับไปร่าเริงแจ่มใสอีกครั้ง ติดตามเขาตลอดเวลา
นางกลับไปยืนกรานอย่างไม่ผิดบังเช่นเดิมว่าเมื่อมีเขาก็สามารถแทนทุกอย่างที่นางมีได้
นางเกาะติดเขา เล่าเรื่องด้านนอกให้ฟัง พูดถึงเรื่องคนและสัตว์ที่เจอ เล่าเรื่องทุกข์สุขจากความรู้สึกของนาง ลู่ยามักจะฟังอย่างเงียบๆ เสมอ และก็แอบตกใจเงียบๆ ออกไปกลับมาเพียงรอบเดียว ความรู้และท่าทางการพูดของนางต่างไปมาก บางครั้งสิ่งที่นางคิดกับสิ่งที่นางแสดงออกมาดูไปแล้วก็ไม่เข้ากัน นางครุ่นคิดลึกซึ้ง ละเอียด และตรงประเด็น
แต่นางกลับไม่เคยเอ่ยเรื่องแต่งงานอีกเลย และทุกครั้งที่เงียบไป แววตาของนางมักจะลุ่มลึก
ผ่านไปราวครึ่งเดือน เขาเริ่มทนไม่ได้
เขาออกไปเก็บดอกไม้มากมายที่นอกวังมาให้นาง
ทั้งยังออกไปเก็บหินมาหลอมเป็นเพชรให้อีกมากมาย
ลู่จีเอามาโยนไปยังต้นไม้ที่อยู่ไกลๆ ทำเหมือนมันเป็นหิน
ลู่ยารู้สึกถอดใจ ทุกวันรู้สึกว่างเปล่า
วันหนึ่งเขาเห็นนางอ่านคัมภีร์เรื่องประหลาดของมนุษย์ จึงเข้าไปอ่านเป็นเพื่อน
ลู่จีไม่ได้มองเขา สองตามองเพียงหญ้าเจ็ดกลีบที่ด้านล่าง
บนใบหน้าของเทพสาวหกภพที่บริสุทธิ์ไร้คาวโลกีย์ เขากลับเห็นความเหงา…ใช่ ความเหงา เดิมทีนางไม่ควรมีความรู้สึก จะมีก็เพียงแต่สัญชาตญาณ แต่ความเหงาบนสีหน้านางกลับไม่ใช่ มันไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ มันเหมือนกับความเย็นชาและนิ่งเฉยหลังผ่านการเห็นความรุ่งเรืองสวยงามมาแล้ว
ลู่ยารู้สึกไม่ดีนัก
เขาย่อตัวลงตรงหน้านาง จับจ้องด้วยดวงตาทั้งสอง “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
นางหลุบตาลงมือลูบหน้าหนังสือซึ่งเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับโลกมนุษย์ที่เปิดอยู่ พลางเอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดว่า กระทั่งเพื่อนที่ไปหาสู่ได้ข้ายังไม่มีเลย”
ลู่ยาชะงัก ดึงมือนางขึ้นมา “เจ้าคือวิญญาณสาวของหกภพ มีเพียงหนึ่งเดียวบนฟ้าดินนี้ คนธรรมดาที่ไหนจะคู่ควรเป็นเพื่อนเจ้ากัน?”
“เช่นนั้นข้าก็ถูกลิขิตให้โดดเดี่ยวหรือ?” นางถาม “หากมีวันหนึ่งเจ้าจากไป ข้างกายข้าก็จะไม่เหลือใครอีกแล้ว”
ลู่ยาไม่อยากให้นางคิดมาก เขารู้ว่าตนเองจะไม่จากนางไป
แต่เขาก็ไม่คิดจะให้สัญญาเลื่อนลอย ดังนั้นทุกครั้งที่นางเป็นเช่นนี้ เขามักจะจุมพิตบนริมฝีปากนาง เพื่อยืนยันว่านางเพียงแค่กังวลมากไปเท่านั้น เพราะนางมักจะทนไม่ได้กับการแสดงความรักของเขา ทุกครั้งที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสก็มักจะหลบ และหัวเราะแห้งๆ อยู่ในอกเขา
แต่เขากลับลุ่มหลงริมฝีปากของนาง ผิวของนาง ยามที่ลู่จีไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร เขาก็มักจะทนไม่ได้ อยากดึงนางเข้ามาในอ้อมอกแล้วมอบจูบอันลึกซึ้งและดุดันให้
ลู่ยาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเมื่อความรักมันเอ่อล้น จะรุนแรงถึงเพียงนี้
นางสามารถควบคุมฤทธิ์ได้แล้ว เขาสามารถจากนางไปได้นานแล้ว แต่เขากลับไม่อยากจากไป อาลัยอาวรณ์ห่างจากนางไม่ได้แม้เพียงครึ่งเค่อ
โดยส่วนใหญ่นางมักจะอ่อนโยน ว่านอนสอนง่าย แต่บางครั้งก็ซุกซน เพราะบนร่างนางก็ประกอบไปด้วยวิญญาณปีศาจด้วย
อย่างเช่นในวังคลื่นพสุธามีสระน้ำหยกอยู่ น้ำในสระบริสุทธิ์และอุ่น เขาไม่ได้อาบน้ำมานานแล้ว บางครั้งก็อาศัยยามที่นางหลับแอบไปอาบ ทำสำเร็จอยู่สองครั้ง ตอนหลังพอถูกนางจับได้ นางก็รบเร้าอยากไปกับเขาด้วย เมื่อเขาไม่ยอม นางจึงแกล้งทำเป็นหลับ รอเขาลงไปในสระจึงค่อยลงมาแช่ด้วย
นางเลียนแบบเขาถอดเสื้อคลุมออก เปลือยกายอยู่ในน้ำด้วยกัน
นางกัดริมฝีปากล่างอยู่ท่ามกลางไอน้ำ ดวงตายกโค้งขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย ทุกอณูเต็มไปด้วยความยั่วเย้า
เขารู้สึกว่าตนเองเป็นหมาป่าถือศีลที่ตอนนี้ถูกนางปลดปล่อย
ตอนที่นางมาจุตินั้นบริสุทธิ์ยิ่งนัก แต่ตอนนี้ทุกอิริยาบถกลับเย้ายวน ท้าทายเขา
ลู่ยาดึงนางเข้าไปกอดในน้ำ
“อาลู่ อาลู่…”
หูของเขาได้ยินเพียงเสียงครวญครางของนาง แต่ละเสียงประทับลงไปในจิตวิญญาณของเขา
แววตาของนางมีเพียงโลก และโลกของนางก็คือเขา
ราวกับนางต้องการจะสลายร่างทั้งร่างเป็นขี้เถ้า และมอบบรรณาการให้แก่เขา
ยามนี้เป็นยามที่มีความสุขและสวยงามที่สุดในคลื่นจิตพสุธา
พวกเขากลายเป็นเงาของกันและกันไม่แยกจาก ยามเช้ามาดูน้ำค้างยามเช้า ยามพลบค่ำก็มาดูพระอาทิตย์ตก ยามกลางวันพวกเขาดูแลดอกไม้ใบหญ้า อ่านหนังสือคัดอักษร ยามค่ำคืนก็ปล่อยใจไปตามความต้องการ
นางได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณเขาแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจแยกได้
…………………………………….