ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 360 คำสั่งของเขา
“ข้าคิดว่านางมีสิทธิ์ที่จะรู้”
หงจวินชักมือกลับ ก่อนเอ่ย “เจ้าอาจจะลืมไปเรื่องหนึ่ง ความรักของนางลึกซึ้งนัก นี่ก็เป็นด่านเคราะห์ของนางด่านหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเจ้า พลังวิญญาณของนางก็คงไม่ถูกกระตุ้นตอนอยู่ที่คุนหลุนตะวันออก หากเจ้าดึงดันให้นางรู้เรื่องนี้ เช่นนั้นเรื่องอาจซ้ำรอยเดิมได้ ถึงตอนนั้นจะปกป้องนางจากแรงสะท้อนกลับได้หรือไม่ ไม่มีใครมั่นใจ”
ฉับพลันนั้นลู่ยาไม่อาจขยับตัวได้อีก
“เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไรดี?”
เขามึนงงไปหมด จิตใจสับสน เขาที่ไม่เคยมีอะไรขัดขวางได้ ตอนนี้กลับคิดอะไรไม่ออก
“เจ้าทำได้เพียงปิดบังนางต่อไป ทำเหมือนไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นและช่วยเหลือนางต่อไป ข้าดูแล้วบุญกุศลของนางใกล้ได้ที่เต็มที รอจนถึงตอนนั้นแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าก็จะไม่ยุ่ง”
ลู่ยากลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำหมัดแน่น หันหน้าไปด้านข้าง
เรื่องราวที่ผ่านมาของนางและเขา นางไม่อาจจำได้ เขาก็ไม่อาจบอกนาง ไม่อาจขอโทษนาง นี่ก็เป็นหนทางหนึ่งในการลงโทษเขาใช่หรือไม่?
“ตัวข้าหลังจากนั้นหมื่นปี ตอนนี้อยู่ที่ไหน?” เขาถาม
ถึงแม้ไม่อาจบอกความจริงกับนาง อย่างน้อยเขาก็ควรรู้ว่า ‘ตัวเขา’ อยู่ที่ไหน
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่มั่นใจได้ว่าอยู่ใกล้ๆ เทพหญิงแน่” จุ่นถีตอบ “ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว คนและเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตใหม่ของนางล้วนมีที่มา ไม่อาจทำให้ผลลัพธ์ในอนาคตเสียหายได้ ท่านบอกนามเหล่าคนที่มีวาสนากับนางในหมื่นปีให้หลังนี้มา จะต้องคอยดูชะตาจากภายนอก”
“ท่านคนนั้นมาเพื่อช่วยนางกลายเป็นเซียนโดยเร็ว ยิ่งเข้าใกล้ช่วงเวลาที่จะกลายเป็นเซียนมากขึ้นเท่าไหร่ จิตรับรู้ของท่านก็จะยิ่งอ่อนแรงลง แต่ตอนนี้ท่านสามารถใช้พลังวิญญาณเสาะหาได้ เพราะนั่นก็เป็นจิตรับรู้ของท่าน หากเจอแล้วก็กลับมารวมกันอีกครั้งได้”
“หลังจากรวมกันแล้ว ท่านจะกลายเป็นคนที่กลับมาจากหลังหมื่นปีนั้น จะมีความทรงจำทั้งหมด รวมถึงพลังบำเพ็ญของท่านในตอนนั้นยังสูงกว่าตอนนี้อีกด้วย หากตามหาจนเจอ ภายหลังยังช่วยให้ท่านกับเทพหญิงทำลายพลังลมปราณร้ายในคลื่นจิตพสุธา เพียงแต่ตอนนี้พวกท่านยังต้องแยกกันอยู่ รอจน ‘เขา’ ทำหน้าที่สำเร็จก่อน”
ลู่ยาขมวดคิ้วฟัง หมัดทั้งสองกำแน่น
เขาตามหาชายชุดเขียวได้ เขาต้องตามหาจนเจอแน่นอน!
ความหมายของจุ่นถีคือ ตอนนี้ทั้งนางและเขาต่างก็ไม่สมบูรณ์ และมีแต่ต้องรอนางกลายเป็นเซียนก่อนถึงจะสามารถกลับมาเป็นลู่จีได้ แต่เขารอไม่ได้แล้ว เขารวมร่างเข้ากับตัวเองในอีกหมื่นปีต่อมาได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี! เขาอยากรู้ว่าตนเสียใจไปมากเพียงใด เจ็บปวดมากขนาดไหน อยากจะให้เวลาย้อนกลับไปมากเท่าไหร่!
ใจของเขาแหลกสลาย แต่กำลังฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ทีละน้อย ตัวเขาหนึ่งหมื่นปีให้หลังตายไปพร้อมกับลู่จีแล้ว ส่วนเขาในตอนนี้มาอยู่เป็นเพื่อนรอนางกลับมาเกิดใหม่ ไม่ว่าชาติหน้าหรือชาตินี้ ความรักที่เขามีต่อนางก็ไม่เปลี่ยนไป และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้นางตัดใจไปจากเขาอีกแล้ว…
ลู่ยาเงยหน้ามองไปที่ไกลๆ เมฆขาวลอยละล่องอยู่ตรงขอบฟ้า ไม่ได้ต่างอะไรกับหมื่นปีต่อมาเลย
“เช่นนั้นนางที่ฟื้นคืนความทรงจำแล้ว จะเป็นอาจิ่วหรือลู่จี?” ลู่ยาหันกลับมามองพวกเขา
หงจวินเดินมาตอบ “บุคลิกและนิสัยของคนเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ชีวิต ลู่จีกลายเป็นอดีตไปแล้ว คล้ายกับเป็นชาติก่อนของมู่จิ่ว นางที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์กับโลกเซียนถึงสองพันปีนั้นถึงจะเป็นนางในตอนนี้”
พูดจบหงจวินก็มองเขา “สำคัญด้วยหรือ?”
“ไม่” ลู่ยารีบตอบ “ข้าเพียงกลัวว่านางจะยังโกรธข้าเพราะเรื่องเหล่านี้”
ไม่ว่านางจะเป็นเช่นไร ลู่ยาก็ต้องการทั้งนั้น เพียงแต่ที่จริงเขาก็ไม่ยินดีให้นางยึดติดอยู่กับเรื่องเจ็บปวดที่ผ่านไปแล้ว เขาเพียงอยากอยู่กับนางอย่างสงบเท่านั้น เหมือนกับก่อนที่เขาจะออกจากบ้านมา ทั้งสองคนต่างก็วุ่นกับเรื่องจุกจิกทุกวัน ใช้ชีวิตสามัญอยู่อย่างอบอุ่น
หงจวินมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนเอ่ย “หลังจากที่หกวิญญาณฟื้นคืนมาแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่บุคลิกนิสัย แต่เป็นเพียงฐานะและพลัง นางเพียงแค่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงแม้จะมีความทรงจำเหล่านั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลับไปเป็นแบบเดิม…มู่จิ่วเป็นคนที่คิดเล็กน้อยหรือ?”
“ไม่ใช่!” ลู่ยารีบตอบ “นางไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน!”
ไม่เพียงไม่คิดเล็กคิดน้อย บางครั้งยังก็ใจกว้างเกินไปด้วยซ้ำ
“เช่นนั้นก็จบเรื่องแล้ว!” หงจวินโบกมือ “เจ้าควรจะดีใจที่นางในตอนนี้เป็นคนจิตใจดีงาม บางครั้งการใส่ใจสิ่งที่สูญเสียไปหรือสิ่งที่จะได้มามากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี”
ลู่ยาสบายใจขึ้น ถอนหายใจเบาๆ
หงจวินพูดอีก “การตามหาจิตรับรู้ของหนึ่งหมื่นให้หลังไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในสองสามวัน หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้าก็อาศัยตอนที่ข้าอยู่เข้าไปปิดด่านเสีย ข้ายังมีนัดพาม้าไปเดินเล่นอีก!”
เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปก่อน
…พาม้าไปเดินเล่น??
ลู่ยาได้ยินสองคำนี้ก็พลันนิ่งไปอย่างโง่งม
……..
ทางด้านแรกพยับ มู่จิ่วผิดหวังกลับมาจากหงชาง นางไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ไม่สบายใจเรื่องอะไรกลับพูดไม่ออก เพียงแค่ค่อนข้างกังวลเรื่องลู่ยาเท่านั้น เขาไม่เคยทิ้งนางไว้คนเดียวนานขนาดนี้ แน่นอนว่านอกจากครั้งนั้นที่ทะเลาะกัน
แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาเก่งเพียงนั้น คนที่ทำร้ายเขาได้ในโลกนี้น่าจะยังไม่มี จึงค่อยคลายใจลงได้
ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่มีเวลาคิดมาก อยู่แรกพยับมาหลายวันนี้ มีคนมาหานางไม่หยุด นอกจากจีหมิ่นจวินแล้วยังมีหัวชิง ถึงแม้ครั้งก่อนนางจะแอบส่งสัญญาณบอกหัวชิงอย่างชัดเจนว่าให้คุยกับหลินเจี้ยนหรูให้กระจ่าง แต่หัวชิงยังปักใจเชื่อว่าพลังเสวียนหมิงในร่างเขาไม่ได้ได้มาเปล่าๆ และหลินเจี้ยนหรูยังมีวาทศิลป์ดี ใครจะรู้ว่าเขาไปพูดอะไรลับหลังบ้าง?
อีกทั้งวันก่อนนางยังเจอเหลียงชิวฉาน นางกับหลินเจี้ยนหรูเดินเล่นอยู่ใต้ต้นท้อ เบื้องหลังเรื่องนี้ซ่อนอะไรอยู่ เพียงแค่คิดดูนางก็รู้แล้ว ด้วยตำแหน่งข้างกายหัวชิงของเหลียงชิวฉาน หากสงสัยสักห้าส่วน หัวชิงยังจำต้องละเลยไปสักสองส่วน ปกติแล้วสำหรับพวกเขา กระทั่งการพบหน้าไท่ซ่างเหล่าจวินยังลำบาก แต่เขากลับสามารถครอบครองพลังที่ส่งต่อมาจากลู่ยา นี่เป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน?
มู่จิ่วไม่รู้ว่าจะดีใจที่พวกเขาเทิดทูนลู่ยาหรือรู้สึกเสียใจแทนดี น่าเสียดายที่นางติดต่อลู่ยาไม่ได้ มิฉะนั้นแล้วหากให้เขาพาคนสักคนมายืนยัน หลินเจี้ยนหรูก็ต้องออกไปจากแรกพยับทันที
ดังนั้นหัวชิงจึงยังคิดว่าหลินเจี้ยนหรูไม่ใช่คนฆ่าหลินเซี่ย และถึงแม้สงสัยก็กลบมันลงไป
หลินเซี่ยกับจีหย่งฟางตายไปสองปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น จีหย่งฟางยังถูกเขาส่งเข้าไปในหลุมตัดวิญญาณ หากผลออกมาว่าฆาตกรคือหลินเจี้ยนหรู เช่นนั้นมิใช่จะเป็นการหาข้ออ้างให้กับจีหมิ่นจวินหรือ ดีไม่ดีอาจใช้ข่มขู่เขาให้ยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้กับลูกชายนาง
แต่หลายวันนี้กลับไม่ได้ยินหลินเจี้ยนหรูอ้างเรื่องเป็นศิษย์ลู่ยาอีก กลับกัน ยามที่มีคนพูดเรื่องนี้ขึ้นเขากลับหลบเลี่ยง นางจึงไม่สนใจไปสักพัก
อย่างไรนี่ก็คือเผือกร้อน ตัวมู่จิ่วเองก็ไม่ได้เร่งร้อนจะปิดคดี
นางอยู่หน่วยลาดตระเวนมาสองปี เจ้าหน้าที่คนอื่นพบเจอเรื่องแบบนี้จะเอาตัวรอดอย่างไร นางรู้ดี ดังนั้นจึงไม่ได้เร่งรีบ เพียงรอจีหมิ่นจวินไปหาหลักฐาน เมื่อได้มาแล้วนางก็นำไปให้ทัพทหารสวรรค์ตัดสิน เดิมทียังกังวลแทนหลินเจี้ยนหรูว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร ตอนนี้ดูแล้วคงไม่จำเป็นต้องกังวล อย่างไรหัวชิงก็เชื่องไปแล้ว นางยังจำเป็นต้องกังวลอะไรอีก?
………………………………….