ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 373 ฉงนสงสัย
เมื่อผ่านความกังวลแรกไปได้แล้ว
ลู่ยาผ่อนคลายลง นั่งลงเอ่ยอยู่ข้างหลังนาง “เอาละ ตอนนี้บอกข้ามา ช่วงนี้เจ้าเจออะไรมาบ้าง?”
เมื่อมู่จิ่วได้ยินก็รีบหันหน้าจากดอกไม้มาหาเขาเพื่อตอบ “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
พูดจบ นางก็เล่าเรื่องหลังจากที่เขาจากไปให้ฟัง เรื่องที่ถูกสั่งไปทำคดีที่สำนักแรกพยับ เรื่องที่หลินเจี้ยนหรูเริ่มฆ่าคน ทั้งเรื่องที่นางถูกชายชุดเขียวพาตัวไปในช่วงเวลาคับขัน
“เขาบอกว่าเขาอยู่ที่คลื่นจิตพสุธา ทั้งยังบอกว่าเรื่องที่ทำไว้ทั้งหมดก็เพื่อช่วยให้หกวิญญาณผ่านด่านเคราะห์ได้ แต่ข้าไม่เชื่อ หากเขาเป็นคนดี คิดจะช่วยหกวิญญาณเท่านั้น ทำไมเขาต้องทำเรื่องไม่สมเหตุสมผลเหล่านั้นด้วย? ทั้งเรื่องความรักสามเส้าของเฟยอี เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอ๋าวและตระกูลอวิ๋น ยังมีหลินเจี้ยนหรูอีก ข้าไม่เชื่อว่าเป้าหมายของเขาจะเรียบง่ายเพียงแค่นั้น”
นางมองลู่ยา ใบหน้าที่ผ่อนคลายเมื่อครู่ตึงเครียดขึ้นมา
ลู่ยาพูดเรียบๆ “เรื่องอื่นไม่อาจพูดได้ แต่ในเมื่อเขายังช่วยเจ้าควบคุมพลังวิญญาณในร่าง คำพูดนี้คงเชื่อถือได้หลายส่วน ส่วนเขาก่อเรื่องเหล่านี้ขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไร ไม่แน่ว่าเขาอาจมีเรื่องที่ยากจะเอ่ยก็ได้? พวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมาก เพียงเขาไม่ได้ทำเรื่องชั่วช้า ไม่ทำลายวิถีฟ้าก็พอแล้ว”
“แต่ไม่รู้ว่าเขาพาเฟยอีไปไว้ไหนแล้ว ทั้งยังทำให้อู่เต๋อถูกตัดรากฐานเซียน แล้วแยกเหลียงจีกับซื่ออินจากกันไปหลายร้อยปี เรื่องเหล่านี้ไม่นับว่าทำลายวิถีฟ้าดินหรือ?”
“ไม่อาจมองแค่ผิวเผินได้ เขาไม่ได้ทำเรื่องผิด ข้าก็ไม่สามาถทำอะไรเขาได้ อย่างเช่นหลินเจี้ยนหรู ถึงแม้ข้ารู้ว่าตนมีรากฐานมาร แต่เขาไม่ได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ข้าก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้” ลู่ยาแบมือ “เราไม่อาจตัดสินว่าเขาจะทำเรื่องไม่ดีแน่ๆ จากการที่เขาดูไม่เหมือนคนดี แล้วทำลายเขาโดยไม่แยกแยะถูกผิด”
มู่จิ่วจับจ้องเขา กลั้นหายใจอยู่นานก่อนเอ่ย “ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเจ้ากำลังช่วยเขาพูดอยู่? เจ้ารู้จักเขาหรือ?”
ลู่ยาชะงักเล็กน้อย พูดทั้งที่สีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าไม่เคยเจอเขาด้วยซ้ำ จะรู้จักได้อย่างไร?”
มู่จิ่วเลิกคิ้ว “เจ้าไม่รู้จักเขา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขามีเรื่องยากจะเอ่ย?”
“ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น” ลู่ยาตอบช้าๆ
มู่จิ่วมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะโน้มตัวไปเหนือโต๊ะ “หลายวันมานี้เจ้าไปทำอะไรมาบ้าง?”
“อ้อ” ลู่ยาหยิบลำไยบนถาดขึ้นมาปอก ก่อนตอบ “ศิษย์พี่หญิงบอกว่าของวิเศษของนางเสียหายหลายชิ้น ต้องการให้ข้าซ่อม ตอนที่ข้าซ่อมอยู่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้ากลับมาพอดี จากนั้นก็ไถ่ถามว่าช่วงนี้ทำอะไรมาบ้าง ห้ามไม่ให้ข้าวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าต้องสงบเสงี่ยมเอาใจเขาอยู่หลายวัน ถึงจะหาโอกาสกลับมาได้”
มู่จิ่วมองมือที่ปอกลำไยของเขา พลันลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป หยิบเอาถาดที่ใส่ลูกสนมาจากในครัว ส่งให้เขาก่อนว่า “เจ้าปอกอันนี้”
“ข้าไม่ชอบกินลูกสน”
“ข้าไม่ได้ให้เจ้ากิน ให้เจ้าปอก” มู่จิ่วพูด
ลู่ยาจับจ้องที่ถาดอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยหยิบลูกสนขึ้นมาขบอย่างช้าๆ
มู่จิ่วจ้องเขาขบไปสิบลูก ถึงได้นั่งกลับลงไปทีละนิด
ชายชุดเขียวใช้มือเปล่าปอกลูกสน แต่ลู่ยาใช้ฟันขบ…จุดนี้ไม่เหมือนกัน
หรือเป็นนางที่สงสัยมากไป?
“พอหรือยัง?” ลู่ยาชี้ไปที่กองเปลือกลูกสนบนโต๊ะ
มู่จิ่วโบกมือ ยืนขึ้นด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นางรู้ว่าลู่ยากับชายชุดเขียวไม่อาจเป็นคนเดียวกันได้ แต่บางครั้งนางกลับรู้สึกแปลกๆ อย่างเช่นตอนอยู่กับลู่ยาจะรู้สึกว่าเขาดูเหมือนชายชุดเขียว ตอนอยู่กับชายชุดเขียวก็รู้สึกว่าฝ่ายนั้นดูเหมือนลู่ยา…ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ชัดเจนนัก ตอนที่มีความรู้สึกเช่นนั้น นางไม่รู้สึกว่าพวกเขาเหมือนกัน แต่หลังจากสงบใจคิด ความรู้สึกนี้กลับค่อยๆ ปรากฏขึ้น
อย่างเช่นตอนนี้ ลู่ยาไม่ได้ดูแปลกที่ตรงไหน นางกลับรู้สึกเหมือนไม่ได้ห่างจากเขาไปนานเท่าไหร่นัก และท่าทางของชายชุดเขียวที่มีต่อนางก็ใกล้ชิดเกินไปนิด เขาบอกว่าเขาชื่ออาลู่ บนโลกนี้คนที่ชื่อแซ่เดียวกันมีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ทำไมถึงได้บังเอิญชื่ออาลู่ ทั้งยังดูสนิทสนมกับนางอย่างไร้เหตุผลอีก?
“ลู่ยา เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าหรือไม่?” คิดถึงตรงนี้นางก็หันกลับมา มองเขาที่กำลังกินลำไย
“ไม่มี” ลู่ยาตอบทันทีอย่างไหลลื่นนัก
มู่จิ่วเชื่อเขา
ถึงแม้นางยังสงสัย แต่ก็ยังเชื่อคำพูดเขาอย่างไร้เงื่อนไข
ทำไมนางถึงรู้สึกแบบนั้นได้? แปลกเกินไปแล้ว
ลู่ยาจนรอนางออกจากห้องไป กลางฝ่ามือของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขารู้ว่าไม่ง่ายนักที่จะปิดบังเรื่องนี้ นางเชื่อคนและเรื่องที่นางเชื่อมาก แต่ถ้าสงสัยแล้ว หากไม่สืบจนถึงแก่นก็จะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เขาหวังเพียงว่าภายหลังบททดสอบเหล่านี้จะมีน้อยลงหน่อย มิฉะนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็วเขาต้องถูกเปิดโปงแน่
บนโต๊ะในช่วงอาหารค่ำ มู่จิ่วกลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว นางช่วยเสี่ยวซิงทำกับข้าว นึ่งปลาให้ลู่ยา คลุกเต้าหู้กับใบกระวาน โต๊ะอาหารไม่ได้คึกครื้นแบบนี้มานานแล้ว ทุกคนดื่มเหล้ากันเล็กน้อย มีความสุขนัก
นางก็ไม่ได้จ้องจับผิดลู่ยาตลอดตามที่ใจสงสัย ด้วยไม่อยากให้เรื่องนี้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนาง สงสัยก็สงสัยไป ไม่มีหลักฐานแน่ชัด คาดเดาไปก็มีแต่ปวดหัวเปล่าๆ
คืนนี้ทั้งสองพูดคุยกันอยู่บนระเบียงเปิดโล่งถึงครึ่งค่อนคืน วันถัดมานางก็ไปหาเขาเพื่อให้ช่วยหาที่อยู่ของหลินเจี้ยนหรู
ลู่ยาหวังว่านางจะคลี่คลายคดีและสะสมบุญกุศลได้โดยเร็ว ดังนั้นจึงให้ความร่วมมืออย่างดี
แต่เขาไม่สามารถบอกที่อยู่ของหลินเจี้ยนหรูกับนางได้ ทั้งหมดยังต้องดำเนินตามแบบเดิมไปก่อน
ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจึงไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้เห็น
เขาไม่อาจบอกที่อยู่หลินเจี้ยนหรูได้ มู่จิ่วก็ยิ่งสงสัยว่าเป็นฝีมือของชายชุดเขียว นางให้เขาพานางไปคลื่นจิตพสุธา ลู่ยาบอกว่า “พลังบำเพ็ญของเจ้าเล็กน้อยเพียงนั้น ขืนไปก็ได้สลายเป็นเถ้าถ่าน? ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปเสี่ยงแน่” ในความเป็นจริง นางเป็นบุตรีแห่งหกวิญญาณ ถึงแม้มาเกิดใหม่จะยังไม่กลายเป็นเซียนแม้แต่นิด หกวิญญาณก็ไม่ทำร้ายนาง ดังนั้นจึงสามารถเข้าออกได้อย่างปลอดภัย
มู่จิ่วพูด “ข้าอยู่ที่นั่นถึงครึ่งเดือนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“มิใช่เจ้าบอกว่ามีชายชุดเขียวปกป้องเจ้าอยู่หรือ?” ลู่ยาตอบนางอย่างคล่องปาก
มู่จิ่วจ้องเขา พูดอีกว่า “ข้าเพิ่งรู้สึกว่าพักนี้เจ้าไม่ค่อยหึงแล้ว? แล้วก็ไม่สงสัยด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างช่วงที่ข้าอยู่กับเขาที่คลื่นจิตพสุธาตั้งครึ่งเดือน? ข้าจะบอกเจ้าให้ หน้าตาของชายชุดเขียวผู้นั้นไม่เลวเลย”
“ข้าต้องหึงแน่นอน แต่ข้าเลือกที่จะไว้ใจเจ้า” ลู่ยาหันหน้าเข้าหานาง กระดองเต่าสองแผ่นหมุนอยู่ในมือ
มู่จิ่วยอมแพ้
หรือว่านางจะสงสัยมากไปเอง?
ยามกลางคืนไม่มีอะไรทำจึงไปคุยกับเสี่ยวซิง เสี่ยวซิงไม่ได้สังเกตลู่ยามากเท่าที่นางเป็น เมื่อครุ่นคิดดีๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนแปลกไป เพียงตอบว่า “แบบนี้ไม่ดีกระมัง ไม่ทันไรก็หึง ยุ่งยากนัก ข้าเห็นก็เหนื่อยแล้ว”
พูดแบบนี้ก็มีเหตุผล ดังนั้นมู่จิ่วจึงทิ้งเรื่องนี้ไป
เสี่ยวซิงเห็นนางล้มเลิกความคิดไปแล้ว เมื่อคิดๆ ดูจึงวางเสื้อที่กำลังพับอยู่ ก่อนเดินเข้ามาพูดกับนาง “ตอนที่เจ้าไม่อยู่ก่อนหน้านี้ มารดาของซ่างกวนสุ่นมา”
………………………………