ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 375 มีการเคลื่อนไหวแล้ว
กล่าวทางด้านหลินเจี้ยนหรู หลังจากจัดการศพของเหลียงชิวฉานแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปทางสำนักแรกพยับ
เป็นอย่างที่หลิวจวิ้นว่าไว้ เขาคิดจะจัดการให้สิ้นซากจริงๆ
หากกล่าวว่าฆ่าคนไม่กี่คนมีโทษถึงตาย การฆ่าคนจำนวนมากก็มีโทษเดียวกัน แบบนั้นทำไมไม่ลากพวกมันทั้งหมดไปตายด้วยกันเลยเล่า?
เขาไปถึงสำนักแรกพยับ กลับพบอย่างรวดเร็วว่ามีคนของทัพทหารสวรรค์อยู่ ดังนั้นจึงซ่อนตัวทันที
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น เขาคาดเดาได้อยู่แล้วว่าทัพทหารสวรรค์ต้องมีการเคลื่อนไหว และในเมื่อมู่จิ่วได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้มาทำคดีนี้ ยิ่งไม่ให้หละหลวมแน่ แต่เดิมเขาเข้าใจว่าพวกนั้นจะซุ่มอยู่ใต้เงามืด ทำแบบนั้นมิใช่ว่าจะทำให้เขาตกหลุมพรางได้ง่ายกว่าหรอกหรือ? กลับมาเฝ้าอยู่ที่นี่อย่างเอิกเกริกเช่นนี้ เขาจะลงมือหรือไม่ลงมือดี?
ก่อนจะขึ้นภูเขา เขาก็ได้สอบถามสถานการณ์ในสำนักแรกพยับมาแล้ว กระทั่งวางแผนไว้แล้วด้วยว่าจะเริ่มฆ่าจากที่ไหน
หากคนของทัพทหารสวรรค์หลบซ่อนอยู่ วิธีการของเขาก็จะต่างออกไป
ถ้าพวกเขาหลบซ่อนตัว แปลว่าต้องมาเพื่อจับตัวเขาแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นเขาจะไม่ปรานี
หลินเจี้ยนหรูไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว หากมีคนอยากทำลายเขา เขาก็จะตอบโต้กลับไปไม่ยั้งมือ
แต่พวกเขากลับอยู่ที่นี่อย่างเปิดเผย นี่เป็นสัญญาณบอกชัดเจนว่าคนของสวรรค์อยู่ข้างในมิใช่หรือ?
เขาไม่เข้าใจว่ามู่จิ่วต้องการอะไร
เขารู้ว่านางอยากฆ่าเขา วันนั้นอีกนิดเดียวเขาก็จะตายในเงื้อมมือนางแล้ว ตอนนี้มู่จิ่วกำลังบอกเขาว่านางไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน ก็สามารถจับและสังหารเขาได้ใช่หรือไม่?
ไม่ใช่ นางมิใช่คนที่เหย่อหยิ่งถือดีเช่นนั้น
หรือนางกำลังบอกเขาว่าอย่ากลับมาอีก?
หลินเจี้ยนหรูถือกระบี่อยู่ที่ตีนเขา ใจที่เดิมทีหนักแน่นดุจหินผากลับสั่นคลอนเล็กน้อย
หากเขาเข่นฆ่าผู้คนทั้งที่รู้ว่าบนเขามีเจ้าหน้าที่สวรรค์อยู่ นั่นหมายความว่าเขาประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับสวรรค์ เขามีคุณสมบัติอะไรไปเป็นปฏิปักษ์กับสวรรค์? ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นเพียงครึ่งมารเลย ต่อให้เขาเป็นมารเต็มตัวแล้วก็ยังไม่สามารถต่อรกับสวรรค์ด้วยตัวคนเดียวได้
มู่จิ่วกำลังบอกให้เขาถอดใจแล้วเลิกราไปหรือไม่?
ใจที่ฮึกเหิมของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง เขานั่งลงไป แหงนหน้าขมวดคิ้วมองท้องฟ้าจากรอยแยกของยอดต้นไม้
ตอนที่นางถือกระบี่หมายจะเอาชีวิตเขา เขาเห็นจิตสังหารในดวงตานางอย่างแน่ชัด และเขาก็ยอมรับแล้วว่าเขากับนางเป็นศัตรูกัน ถึงแม้มู่จิ่วจะเคยช่วยเขาหลายครั้ง หนำซ้ำเขายังมองนางเป็นคนที่ตนไว้ใจมากที่สุดนอกเหนือจากแม่ผู้ให้กำเนิด ทว่าตอนนี้เรื่องเหล่านี้กลับไม่มีความหมายแม้แต่น้อย!
ฐานะและจุดยืนของพวกเขาทำให้ไม่อาจร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ได้อีก นางคือเจ้าหน้าที่สวรรค์ผู้ผดุงความยุติธรรม แต่เขาเป็นผู้ร้ายที่ทำความชั่วไว้มากมาย เขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตายภายใต้คมกระบี่ของนาง
แต่เวลานี้ นางกลับส่งสัญญาณบางอย่างให้เขา…
หากเขาต้องการรอดชีวิต บางทีตอนนี้เขาควรจะไปที่รอยต่อของหกภพ เข้าร่วมกับพวกที่โหดร้ายที่สุด รอยต่อของหกภพไม่อยู่ภายใต้การดูแลของสวรรค์ ด้วยวิชาอาคมและอำนาจของราชามาร หากต้องการปกป้องคนอย่างเขาก็เป็นเรื่องง่าย แต่เขาไม่รู้จักราชามาร ทั้งยังไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร ราชามารจะช่วยเขาทำไม?
ในภพมาร เขาไม่ได้มีคุณค่าโดดเด่นอะไร
เช่นนั้นแล้ว ถึงแม้เขาไม่ไปหาราชามาร เพียงหลบซ่อนอยู่ในภพมารก็คงไม่เกิดเรื่องอะไร แต่แบบนี้ก็เท่ากับว่าเขาไม่อาจย้อนกลับมาได้อีกแล้ว ชีวิตที่เหลือของเขาต้องอยู่กับพวกปีศาจมาร ต่อไปเขาต้องทำเรื่องที่ตนไม่อยากทำ ต้องฆ่าคนที่ไม่เคยทำร้ายตนมาก่อน ทว่าจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่อยากมีชีวิตที่จมดิ่งลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หากเป็นเช่นนี้ มิสู้ตายตกไปกับสำนักแรกพยับเสียเลย
เขาต้องการฆ่าคนสำนักแรกพยับทุกคน เพราะพวกนั้นต่างก็มอบความทรงจำอันเจ็บปวดให้เขาไม่มากก็น้อย ซึ่งต่างกับถ้าเขาไปยังภพมาร และแตกต่างจากการทำตามกฎของภพมารด้วย สิ่งนี้มีความแตกต่างโดยเนื้อใน
หากไม่ถึงกับไร้หนทาง เขาคงไม่คิดจะตาย
ตอนที่เหลียงชิวฉานตายเพื่อเขา เขาก็เข้าใจแล้วว่าไม่ใช่ทุกคนบนโลกนี้ที่อยากให้เขาตาย นางใช้ชีวิตของตนเองแลกกับโอกาสหลบหนีของเขา มู่จิ่วเด็ดขาดขนาดนั้น ตอนนี้กลับยังเตือนไม่ให้เขากลับมาอีก…ถึงแม้เดิมทีนางอาจไม่ได้ต้องการแบบนี้ แต่พวกหลี่อี้ยังอยู่ด้วย อย่างน้อยเขาก็ต้องกังวลอยู่บ้างมิใช่หรือ?
ถ้าบอกว่าแรกพยับมอบเพียงความเย็นชาและเจ็บปวดให้เขามาตลอด เช่นนั้นพวกนางสองคนก็คือความอบอุ่นอันบริสุทธิ์ที่สุดท่ามกลางความหนาวเหน็บนี้
มือที่กุมกระบี่ของเขาพลันคลายออก
บางทีเขาอาจจะยังอำหิตไม่พอ เลือดเย็นไม่พอ
ในฐานะที่เป็นมาร เขาไม่ควรสนใจกระทั่งเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ถึงจะถูก
หลินเจี้ยนหรูเหลือบตามองถ้ำที่อยู่ไม่ไกล กัดฟันแน่นก่อนเข้าไปหลบในนั้น
ถึงแม้เขาไม่อยากตาย แต่เขาก็ไม่มีหนทางถอยอีก ช้าเร็วต้องมีคนของทัพทหารสวรรค์หาเขาพบ ดีไม่ดีนอกจากสวรรค์แล้วยังมีคนของวังโตวลวี่ออกหน้า มีไท่ซ่างเหล่าจวินนำทัพ เขาก็หนีไม่พ้นอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพวกอาวุโสในสำนักแรกพยับอีก เขาทำได้เพียงซ่อนตัวไปก่อน รอจนพวกหลี่อี้สลายตัวไปค่อยเข้าสังหารคนบนเขา
ภาระหน้าที่ของหลี่อี้ที่คอยปักหลักอยู่บนเขาคือคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวรอบด้าน ตอนนี้เขามองไปยังยันต์กันมารที่ผลุบโผล่บนหน้าผาฝั่งตรงข้ามเช่นปกติ มองแล้วสองตาก็เบิกโต พลันเรียกพลทหารที่อยู่ด้านข้างมา “รีบไปแจ้งแก่ใต้เท้ากัว ยันต์มีการเคลื่อนไหวแล้ว!”
มู่จิ่วได้รับข่าวตอนที่กำลังอาบน้ำให้อาฝูพร้อมกับรุ่ยเจี๋ย หลังจากได้ข่าวแล้วก็ตะลึงอยู่พักหนึ่งถึงได้ยืนขึ้น ซึ่งผิดจากที่พลทหารคาดการณ์ไว้
“รับทราบแล้ว”
นางตอบรับไปประโยคหนึ่ง จากนั้นราดน้ำลงบนตัวอาฝูอย่างไม่เร็วไม่ช้าเกินไปสองที ก่อนจะเช็ดมือและยืนขึ้นอย่างช้าๆ เดิมทีคิดจะทิ้งคดีนี้ ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปของมันเอง ให้ความแค้นระหว่างแรกพยับกับหลินเจี้ยนหรูจบลงตรงนี้ หากภายหลังเขายังทำผิดอีก นางจับเขาในตอนนั้นก็จะได้ไม่รู้สึกผิด
ถึงแม้พูดแบบนี้จะดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ แต่เขาแบกรับมามากเกินไปจริงๆ
นางที่เคยเป็นเพื่อนเขามาก่อนยากจะทำให้มันถูกต้องเที่ยงธรรมทั้งหมด การถ่วงเวลาในตอนนี้ก็เป็นทางเลือกที่ช่วยไม่ได้
แต่ใครจะรู้ว่าคนลิขิตไม่อาจสู้ฟ้าลิขิต ตอนนี้เขากลับมาจริงๆ การมาครั้งนี้ นางจำต้องเข้าไปจัดการ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางเพียงคนเดียวจะบงการให้เป็นไปได้ ถึงแม้นางมีใจอยากปกป้อง แต่เรื่องที่เขาควรเผชิญหน้าก็ต้องเผชิญหน้า
ครั้นเดินมาถึงประตู นางคิดอยากจะกลับไปเรียกลู่ยา แต่เมื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มเลิกไป
หากลู่ยาไปด้วย เกรงว่าหลินเจี้ยนหรูจะถึงจุดจบจริงแล้วกระมัง?
เมื่อคิดดังนี้นางจึงส่งสัญญาณให้พลทหารแล้วเดินออกไป
เมื่อมาถึงแรกพยับ หลี่อี้รอต้อนรับนานแล้ว เขายืนอยู่ตรงประตูพลางชี้ไปยังยันต์กันมารที่ผลุบๆ โผล่ๆ บนภูเขา ก่อนเอ่ย “ใต้เท้าดู ยันต์นั้นเหมือนกับที่ท่านเคยพูดไว้ กะพริบต่อเนื่องมาหลายครั้งแล้ว!”
ยันต์กันมารนี้จะจับลมหายใจของหลินเจี้ยนหรู เพียงแค่เขาปรากฏตัวก็จะมีปฏิกิริยาทันที
พวกหลี่อี้ตื่นเต้นนัก สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นเพียงคดีปกติเท่านั้น แต่การได้ร่วมคลี่คลายคดีใหญ่กับมู่จิ่วย่อมมีผลดีกับพวกเขาไม่น้อย คนเราล้วนชอบผลประโยชน์ พวกเขาไม่มีเส้นสาย ย่อมไม่อาจกล่าวโทษได้
……………………….