ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 384 อนาคตของข้า
เสียงของเขาแหบพร่าจนทุ้มต่ำอยู่บ้าง แววตาที่มองมู่จิ่วมีความลังเล จนปัญญา ทั้งยังหวาดกลัวเล็กน้อย
เขาที่เป็นเทพชั้นสูงคนหนึ่ง ตอนนี้กลับไม่ต่างกับเด็กน้อยซุกซนที่กระทำผิด
น้ำตามู่จิ่วไหลรินออกมาสองสาย นางเบือนหน้าหนี
คลื่นขนาดใหญ่สาดซัดเข้ามาในใจนาง แต่ละคลื่นกระทบเข้ามาจนเวียนหัวตาพร่า
ความเศร้าของลู่จียังคงอยู่ในใจนาง ความเจ็บปวดทุกกระเบียดนิ้วของลู่จีเหมือนมีดเฉือนบนผิวนาง แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ใช่เรื่องสำคัญ ต่อให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นเจ็บยิ่งกว่านี้ ความผิดหวังลึกล้ำยิ่งกว่านี้ ก็ล้วนเป็นความทรงจำที่ผ่านไปนานแล้ว อีกทั้งหลายปีมานี้ทั้งเขาและนางก็อยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ ทุกช่วงเวลาสามารถกลบฝังความทรงจำเหล่านั้นได้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเอาเรื่องที่ผ่านไปแล้วกับเรื่องที่บอกได้ยากว่าใครผิดใครถูกมาทำร้ายปัจจุบัน
จิตใจของนางไม่ได้ซับซ้อนเช่นนั้น
นางรู้ว่าคนที่นางรักในปัจจุบันคือลู่ยา
แต่…นางยังคงไม่อาจยอมรับความจริงเรื่องที่ลู่ยาคือชายชุดเขียวได้…พูดอีกอย่างคือ ยังไม่อาจยอมรับเรื่องพวกนี้
ตลอดมามู่จิ่วคิดว่าชายชุดเขียวคือศัตรู นางเห็นเรื่องเศร้าของชิงผิงและเฟยอี เห็นการเปลี่ยนแปลงของมังกรอ๋าวเจียงที่ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ และเติบโตกลายเป็นหนุ่มน้อยที่สุขุมอย่างรวดเร็วเพราะปัญหาที่บ้าน รวมทั้งซื่ออินที่เศร้าโศกเพราะการจากไปของเหลียงจี ยังมีอาฝูที่ตอนแรกหลงมาถึงสวรรค์แล้วถูกศิษย์ของวังโตวลวี่ไล่ล่าบนถนน สุดท้ายก็คือเรื่องของหลินเจี้ยนหรูที่ตอนนี้ยังไม่รู้จุดจบ…
มู่จิ่วมองเขาเป็นศัตรูมาโดยตลอด แต่ตอนนี้นางกลับพบคำตอบด้วยตนเอง คนที่ก่อเรื่องเหล่านี้ขึ้นมากลับเป็นคนที่นางไว้ใจที่สุด… อันที่จริงเขาไม่มีเจตนาร้าย ไม่ได้ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมอะไรขึ้น และนางก็เห็นว่าเขาดำเนินเรื่องไปตามชะตาชีวิตของแต่ละคน ทว่าจะให้นางเปลี่ยนการต่อต้านที่มีต่อชายชุดเขียวมาเป็นความรักที่มีต่อลู่ยาอย่างรวดเร็วได้อย่างไรกัน?
แท้ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคนคนเดียวกัน
ไม่ใช่บอกว่ายอมรับแล้วจะยอมรับได้ทันที หรือบอกว่าเป็นแบบนี้นี่เองคำเดียวแล้วจะลบล้างเรื่องทั้งหมดได้
นางมองไปด้านนอก แสงจันทร์ส่องสว่างลงมาแล้ว สีของฟ้ามืดยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ชวนให้เกิดความรู้สึกไปว่าได้เข้าสู่ปรโลก
ลู่ยามองนางจากข้างหลัง ในใจเหมือนแขวนอยู่กลางอากาศตลอด ใจสลายจนอยากร้องไห้
นางที่เป็นแบบนี้ทำให้เขาหวาดกลัว เขาเคยสูญเสียนางไปแล้วครั้งหนึ่ง ความรักของพวกเขาครั้งนี้บริสุทธ์และเรียบง่าย รักได้อย่างอิสระและหวานชื่น กระทั่งทุกครั้งเมื่อหวนนึกถึงก็ยังอดยิ้มไม่ได้ ไม่เหมือนชาตินั้นที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน เขาเคยชินเสียแล้วกับนางที่เรียบง่ายและหัวรั้น นางยึดมั่นในความยุติธรรม ถึงแม้มักจะต้องบอบช้ำกับความจริงที่ได้พบ
เขาไม่อยากเสียนางไปอีกแล้ว
“อาจิ่ว”
เสียงของเขาแหบพร่าจนเกือบขาดห้วง “เจ้าอภัยให้ข้าได้หรือไม่?”
มู่จิ่วไม่ขยับ นางแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย มองดาวหลายดวงบนท้องฟ้า เงียบจนเหมือนไร้ลมหายใจ
ขอบตาลู่ยาร้อนผ่าว เขาลำบากเพียงไรกว่าจะมาถึงนาทีนี้ได้ ใจของเขาเหมือนโดนมีดเฉือน รอยกรีดแต่ละรอยราวกับจารึกไว้ด้วยความหมดหวัง
ในดวงตามู่จิ่วก็มีน้ำตา นางยกริมฝีปากปากน้อยๆ หันตัวกลับมาเอ่ย “ให้ข้าได้เห็นเจ้าในร่างชายชุดเขียวอีกที”
ลู่ยาชะงัก จับจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปลี่ยนตนเองให้กลับมาอยู่ในร่างชายชุดเขียว
มู่จิ่วมองเขา สายตาจับอยู่บนใบหน้า
แม้เสื้อผ้าของเขาจะเปลี่ยนไป แต่ใบหน้ากลับยังเป็นของลู่ยา
ก่อนที่จะรู้ความจริงเรื่องนี้ ในสายตานางชายชุดเขียวคือคนอีกคนหนึ่ง แต่ตอนนี้อาคมพรางตาไม่มีประโยชน์กับนางแล้ว ถึงแม้ชายชุดเขียวจะมีตัวตนอยู่อีกคนจริง สำหรับนางแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน
นางหมุนตัวเดินออกจากประตูไป
ลมที่เกิดจากพลังวิญญาณตรงประตูดึงดูดนาง นางอยากจะออกไปสูดอากาศ
ลู่ยาเปลี่ยนร่างกลับมาทันที คว้าข้อมือนางไว้ ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่คำพูดทั้งหมดกลับแสดงออกมาแล้วทางแววตา
มู่จิ่วเงียบอยู่นานถึงเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วเอ่ย “คนที่ลู่จีรักคือชายชุดเขียว คนที่ชายชุดเขียวรักก็คือลู่จี”
ใจของลู่ยาติดอยู่ที่ลำคอ เขาถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
สายตาของมู่จิ่วหยุดลงที่ดวงตาของเขา “หมายความว่าคนที่ข้าต้องการคือเจ้า คนที่เจ้าต้องการคือข้า ข้าไม่อยากให้ลู่ยากับชายชุดเขียวมาเปลี่ยนอนาคตข้า”
ลู่ยาชะงักไปครู่หนึ่ง น้ำตาหลั่งรินลงมาทันที
ในแววตาของมู่จิ่วมีความอบอุ่นเจืออยู่ นางเดินกลับมา เขย่งปลายเท้าโอบรอบคอเขา พูดอยู่ริมหูว่า “เจ้าบอกเองมิใช่หรือ รอหลังจากข้าสำเร็จเป็นเซียนแล้วชายชุดเขียวก็จะหายตัวไปเอง? เช่นนั้นก็ให้พวกเขาอยู่ของพวกเขา พวกเราอยู่ของพวกเราไป ข้ารู้จักเพียงตัวเจ้าในชาตินี้ ข้ารู้จักเพียงลู่ยาที่หลอกคนเป็นแต่ก็ยังไม่ถือสาว่าข้าโง่และยังต้องการข้า”
น้ำตาของลู่ยาไหลรินลงมาดั่งฝน มือทั้งสองกอดนางแน่น ซุกใบหน้ากับไหล่นาง ราวกับต้องการหลอมรวมนางเข้ามาในใจ
คลื่นยักษ์ในใจมู่จิ่วค่อยๆ สงบลง
นางไม่ได้พูดผิด คนที่ลู่จีรักคือชายชุดเขียว คนที่ชายชุดเขียวยึดมั่นไม่ยอมปล่อยก็คือลู่จี ถึงแม้นางมีความทรงจำของลู่จี สามารถรับรู้ความเจ็บปวดของการจากลาและความยินดีของการพบเจอได้ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ใช่ลู่จีอยู่ดี ลู่ยาก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ชายชุดเขียวจะเป็นจิตส่วนหนึ่งของเขา เป็นตัวเขาอีกส่วนหนึ่ง แต่ความรักที่มีต่อลู่จีนั้นมาจากชายชุดเขียวในหนึ่งหมื่นปีต่อมาทั้งหมด
นางไม่อาจมองเขาเป็นชายชุดเขียวได้ จึงทำได้เพียงใช้เหตุผลอันเรียบง่ายนี้มาอธิบาย
พวกเขาไม่อาจซ้ำรอยความผิดพลาดของชายชุดเขียวและลู่ยาได้อีก พวกเขาคือพวกเขา เป็นคนที่ไม่สนใจความต่างของตำแหน่งฐานะและอายุ แม้แตกต่างก็ยังอยู่ด้วยกันจนผู้อื่นนึกไม่ถึง
บางทีนางยังรู้สึกขัดใจการดำรงอยู่ของชายชุดเขียว แต่อย่างไรก็รู้สึกขอบคุณเขา
หากไม่มีเขา นางคงไม่มีชีวิตที่อบอุ่นเช่นนี้ โลกของลู่จีมีเพียงลู่ยาเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้นางมีอาจารย์ที่เอ็นดูนางและศิษย์พี่จำนวนมาก มีเหล่าสัตว์ปีศาจที่เติบโตมาด้วยกันที่หงชาง มีสหายที่ดีมากมายในสวรรค์ ทั้งยังมีเสี่ยวซิง ซ่างกวนสุ่น รุ่ยเจี๋ย และอาฝู
และที่สำคัญยังได้ลู่ยากลับมา
นางมีอะไรอยู่มากมาย นางไม่ใช่เทพหญิงแห่งหกวิญญาณที่ตัดขาดจากสังคม หวาดกลัวความเดียวดายคนนั้นอีกแล้ว นางมีชีวิตที่มีรสชาติและสมบูรณ์แบบมาก ตอนที่ไม่มีลู่ยานางก็มีครอบครัว เวลาโดนรังแกข้างนอกนางก็สามารถกลับไปหาอาจารย์และศิษย์พี่ได้ นางไม่มีโอกาสได้รู้จักความเดียวดายอีกแล้ว นางช่างโชคดีนัก
ชีวิตที่นางหวังไว้ คงจะเป็นแบบนี้กระมัง?
นางเคยเห็นเรื่องราวประหลาดมากมายในโลกมนุษย์ยามอยู่ที่คลื่นจิตพสุธา นางอิจฉาคนเหล่านั้น พวกเขามีญาติมีเพื่อนร่วมบ้านที่ดีมากมาย โลกของนางไม่ได้แคบจนมีเพียงแต่ความรักเท่านั้น ถึงแม้คนผู้นี้จะสำคัญมากว่าอะไรทั้งหมดก็ตาม
“พวกเรากลับบ้านกันเถอะ” นางพูด
“อืม”
ลู่ยาพยักหน้า จูงมือนางเดินออกจากประตูไป
คำว่ากลับบ้านสองคำนี้ทำให้ใจเขาอบอวลไปด้วยความอบอุ่น เป็นเทพอาศัยอยู่ในสวรรค์อันสูงส่งที่สูงขนาดนั้นมานานแล้ว เขากลับตกหลุมรักบ้านเล็กๆ หลังนี้ บางทีอาจเพราะบ้านนี้มีนางอยู่
มีคำพูดมากมายที่อยากพูดแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ที่จริงถึงพูดไปก็เป็นเรื่องเกินจำเป็นแล้ว สิ่งที่อยากพูดมีเพียงเขาเจ็บปวดเพียงใด อยากถนอมนางเพียงใดในตอนนี้ แต่คำพูดทั้งหมดกลับถูกเก็บไว้ เพียงแค่เห็นความในใจในดวงตาของแต่ละคนก็ดีแล้ว
มู่จิ่วกับลู่ยาบอกลากันที่ด้านหน้าลานบ้าน เมื่อกลับถึงห้อง กระจกที่อยู่บนโต๊ะสะท้อนใบหน้าอันสงบสุขและมีความสุขของนาง
นางกับลู่จีมีร่างกายเดียวกัน ดวงจิตเดียวกัน แต่แววตากลับแตกต่าง
นางชอบตัวนางในตอนนี้มากกว่า ถึงแม้ไม่ฉลาด ไม่สมบูรณ์แบบ และไม่เด็ดขาดก็ตาม
…………………………………………