ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 387 คนรัก
ความฝันของเขาคืออยากมีบ้านเล็กๆ เช่นนี้หลังหนึ่ง บำเพ็ญตนเป็นเซียนอย่างอิสระ ยามว่างก็ปลูกผักปลูกดอกไม้ เหล่าแมวนอกบ้านพากันอาบแดด เหล่าสุนัขวิ่งเล่นไม่หยุด บางครั้งก็เอาเป็ดไก่มาทำกับข้าวแกล้มเหล้า ชีวิตราบเรียบสงบสุข สิ่งที่เขาต้องการแท้จริงแล้วไม่ได้มากมายเลย
“มันต้องดีแน่นอน” นางถือจอกเหล้าพลางเอ่ย “คนที่ทำชั่วสุดท้ายย่อมได้รับโทษหนัก ข้าไม่เชื่อว่าคนของแรกพยับจะยังวางก้ามได้เช่นแต่ก่อน และไม่เชื่อว่าทุกคนจะแล้งน้ำใจ อย่างไรก็ต้องมีคนออกหน้ามาแน่”
หลินเจี้ยนหรูมองนาง ยกยิ้มให้ “ขอบคุณเจ้าด้วย หากไม่ใช่เจ้า ข้าก็ไม่รู้ว่าบนโลกนี้จะมีอะไรคู่ควรให้ข้าอาลัยอาวรณ์อีก ข้าไม่กล้าพูดว่าหากไม่มีเจ้าคงต้องแย่แน่ แต่อย่างน้อยนอกจากแม่ของข้าแล้ว เจ้าก็เป็นคนเดียวที่ข้าพบแล้วสบายใจที่สุด”
มู่จิ่วหลุบตาต่ำ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมา “เช่นนั้นเหลียงชิวฉานล่ะ?”
แววตาของเขามืดหม่นลง สีหน้าสดใสกลืนหายไปในความเจ็บปวด
“ข้าไม่รู้” เขาก้มหน้าลงพึมพำ “ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่านางเป็นอะไรสำหรับข้า และก็ไม่รู้ว่าจะให้นางอยู่ในฐานะอะไร ข้ารู้เพียงว่าข้าไม่ได้เกลียดนางตั้งนานแล้ว ข้าไม่โกรธนาง ไม่รู้สึกรำคาญนาง หากนางยังมาคุยกับข้าได้อีกครั้ง ข้าต้องตอบนางว่า…เอาละ ข้าเข้าใจแล้วแน่นอน”
ในดวงตาของเขามีประกาย เสียงสั่นเครือ คำพูดหยุดไปตรงนั้น
เขายันแขนข้างหนึ่งกับเข่า ถือจอกเหล้าไว้ เงาร่างอันสูงใหญ่เจือไปด้วยความเจ็บปวด
ขอบตาของมู่จิ่วร้อนผ่าว ก้มหน้าจิบเหล้า
“กินข้าวเถอะ ข้าทำเองกับมือ เจ้าเคยบอกว่าเจ้าชอบกิน” นางหลุบตากลั้นหยาดน้ำที่อยู่ตรงหางตา สูดลมหายใจขณะยิ้ม ก่อนจับตะเกียบคีบหมูก้อนผัดน้ำแดงไปให้เขา “รอเจ้าออกมา ข้าจะสอนเจ้าทำ ข้าทำอาหารเป็นหลายอย่าง”
หลิวจวิ้นเป็นคนดูแลคดีของหลินเจี้ยนหรูด้วยตนเอง มู่จิ่วเพียงช่วยอยู่ด้านข้างเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงก็ไม่มีเรื่องอะไรให้นางต้องจัดการเท่าไหร่
เรื่องของสำนักแรกพยับเกิดขึ้นพอดีกับที่ไท่ซ่างเหล่าจวินกำลังเข้มงวดเรื่องการสั่งสอน ทำให้บนสวรรค์เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นไม่น้อย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือเหล่าศิษย์สำนักฉ่านเข้าใส่สีตีไข่ พูดใส่ความว่าหลินเจี้ยนหรูก่อให้เกิดความขัดแย้ง แพร่สะพัดไปทั่วทุกหัวมุมถนน ทุกที่ต่างถกกันถึงเรื่องนี้
และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นศิษย์แถวล่าง หูเบา ได้ยินลมก็กลายเป็นฝนได้ แต่นั่นไม่รวมถึงพวกที่เบื้องหลังมีผลประโยชน์ผลักดันอยู่
แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดจะไปตามกระแส มีคนจำนวนหนึ่งไม่ยอมปริปากพูด บางส่วนเคยเป็นสหายร่วมงานกับหลินเจี้ยนหรู บางส่วนคือพวกที่ไม่พอใจการวางอำนาจบาตรใหญ่ของพวกลัทธิฉ่าน และยังมีคนซึ่งไม่ชอบพวกที่ซ้ำเติมคนอื่น สรุปคือ อย่างไรบนโลกนี้ก็ไม่มีทางมีเหตุการณ์ที่ทุกคนจะอยู่ฝั่งเดียวกันทั้งหมดได้
ตอนที่ไม่ต้องเข้าหน่วยงาน มู่จิ่วก็อยู่บ้าน
ลู่ยาเล่าที่มาที่ไปของชายชุดเขียวให้ฟังหมดแล้ว หากว่างก็จะหลอมกระบี่ให้นาง เขารู้สึกว่านางขาดอาวุธที่เหมาะสม อันที่จริงความคิดที่จะหลอมกระบี่มีมานานแล้ว แค่ช่วงนี้เพิ่งมีเวลาลงมือทำ ตอนนี้เขาร่างภาพไว้เรียบร้อย เหลือเพียงเลือกวัสดุ เมื่อเลือกได้แล้วก็ยังต้องเอาเข้าเตาหลอม หลังทำเสร็จมันจะกลายเป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรกในฟ้าดินนี้
“จะทำเสร็จก่อนไปทำลายพลังชั่วร้ายของคลื่นจิตพสุธาได้หรือไม่?” มู่จิ่วถาม
“เรื่องนี้ไม่แน่ เจ้าสำเร็จเป็นเซียนได้เร็ว เวลาที่จะไปคลื่นจิตพสุธาก็เร็วขึ้น หากสำเร็จเป็นเซียนช้า เวลาก็จะยิ่งยืดยาวออกไป” ลู่ยายกพู่กันวาดดอกไม้ลงบนกระบี่ พลางพูด “พวกเรารอให้กระบี่เสร็จแล้วค่อยไปก็ได้ แต่นั่นก็ต้องรอนานหน่อย เพราะกว่าจะหลอมเสร็จ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายร้อยปี”
พูดจบก็วางพู่กันลง มองนาง ยกยิ้มแล้วเอ่ย “แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าสามารถตั้งชื่อที่ชอบให้มันได้ก่อน”
มู่จิ่วเท้าคางครุ่นคิดอย่างจริงจัง
ลู่ยามองนางที่กำลังเหม่อลอย ยิ้มน้อยๆ ก่อนวาดเมฆมงคลลงบนกระดาษ
ช่วงนี้บรรยากาศสงบสุข ตั้งแต่กลับมาจากคลื่นจิตพสุธานางก็เก็บตัวมากขึ้น อีกทั้งในใจของเขาก็ได้ลบล้างความกังวลใจไปแล้ว เรียกได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับความรู้สึกในปัจจุบันยิ่งกว่าแต่ก่อน เขาทิ้งความรู้สึกรักใคร่แบบเด็กน้อยเหล่านั้นไป นิสัยแบบเด็กๆ จึงค่อยจางหาย ทำให้ใจยินยอมปล่อยเวลาเคลื่อนผ่านไปแต่โดยดี
“ข้าคิดดีแล้ว” มู่จิ่วนั่งลง “อย่างไรก็ต้องรออีกหลายร้อยปี”
ลู่ยาพยักหน้า วางพู่กันลง เป่าหมึกที่ยังไม่แห้งก่อนเอ่ยว่า “ไปเถอะ”
มู่จิ่วยืนขึ้น “ไปไหน?”
“พวกเราไปหงชางกันเถอะ”
หงชาง? ใช่แล้ว
นางรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นจุ่นถีน่าจะปรากฏตัวแล้วเช่นกัน
ในเมื่อเขาปรากฏตัว นางก็ควรกลับไปดูสักหน่อย
พวกเขาออกเดินทาง เดินเคียงคู่กันไปหงชาง
ไม่ได้เจอกันหลายเดือน หงชางที่รกร้างกลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนเกิดใหม่ ทั้งภูเขาเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ เรือนทั้งหมดในหงชางตกอยู่ในวงล้อมของสีชมพูและสีขาว ดุจภาพวาดน้ำหมึกฝีมือยอดปรมาจารย์มือทอง
เหล่าสัตว์ปีศาจต่างก็ออกมาหมดแล้ว มีบางส่วนเดินเล่นอยู่บนเขา บางส่วนงีบหลับอยู่ใต้ต้นไม้
ปีศาจหนูสีเทากำลังคุยเล่นอยู่ใต้ภูเขา ครั้นเห็นมู่จิ่วกับลู่ยาที่เดินมาแต่ไกลก็พากันยิ้มทักทาย “แม่นางจิ่วพาคนรักมา” ปีศาจจิ้งจอกที่กำลังหวีขนอยู่ริมแม่น้ำนอกระยะครึ่งลี้ได้ยินเข้า ก็รับวิ่งเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น มือทั้งสองกอดอก ฟองสีชมพูลอยเต็มดวงตา “อาจิ่วพาผู้ชายจากสวรรค์กลับมา!”
มู่จิ่วรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง ลู่ยากลับจูงมือนางอย่างผ่าเผย เอ่ยว่า “ต่อไปพวกเจ้าต้องเรียกข้าว่าสามีของศิษย์พี่เก้าแล้ว” พูดพลางหยิบกระเป๋ายาที่เก็บอยู่ในอกเสื้อออกมา “น้ำใจเล็กน้อย ถือเป็นของขวัญแรกพบหน้าแล้วกัน”
ปีศาจจิ้งจอกรับกระเป๋ายามา เห็นไอมงคลเหนือหัวเขาเข้าพอดี ดวงตาเล็กๆ คู่นั้นพลันเบิกกว้าง! ไอมงคลของสามีศิษย์พี่เก้าเด่นตาและยิ่งใหญ่นัก ต้องเป็นเทพเซียนที่ดูแคลนไม่ได้แน่!
เหล่าปีศาจตื่นเต้นกันทันที
มู่จิ่วถามลู่ยา “นั่นยาอะไร?”
“ยาปกป้องจิตต้นกำเนิด สามารถปกป้องพวกเขาจากอสุนีบาตเก้าสิบเก้าสาย เห็นแก่ที่พวกเขาปากหวาน จึงตบรางวัลให้หน่อย” ลู่ยาดึงนางเข้าประตูสำนัก
เด็กอ้วนที่ประตูสำนักเห็นพวกเขาทั้งสองจึงกลิ้งเข้าไป
ลู่ยามือเร็วนัก พริบตาเดียวก็ดึงพวกเขากลับมา “อยากกินไก่ย่างหรือไม่?”
น้ำลายของเด็กอ้วนไหลยืดลงมาสามฉื่อ
“หากอยากกินก็อย่าได้โหวกเหวกไป ข้าเพียงมาดื่มชากับเจ้าสำนักของพวกเจ้าแล้วพูดคุยเรื่องเก่าก่อนเท่านั้น” ลู่ยาวางเขาลง กลางฝ่ามือพลันปรากฏไก่ย่างห่อใบบัวส่งกลิ่นหอมตัวหนึ่ง
เด็กอ้วนรีบเข้ามาหยิบก่อนวิ่งไปไกล
ก่อนหน้านี้ลู่ยาอยู่บนเขาหลายวัน ทุกคนจำอาจารย์อาใหญ่ผู้นี้ได้แล้ว ทั้งยังเคยติดตามเขาก่อเรื่องไปทั่วภูเขา เดิมทีทั้งเขาจะออกมากราบไว้เขาก็เป็นเรื่องเหมาะสม แต่ในเมื่อเขาบอกว่าไม่ต้อง ก็ย่อมไม่เกรงใจ
วันนี้จุ่นถีไม่ได้อ่านหนังสือไม่ได้สวดมนต์ อีกทั้งไม่ได้ต้มชา เขายืนอยู่ปากทางเข้าที่ปกคลุมไปด้วยป่าไผ่ สูงส่งสง่างามยิ่ง
เขาเห็นลู่ยาเดินจูงมือมู่จิ่วเข้ามาตามระเบียงทางเดิน มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย สุดท้ายจึงกลายเป็นรอยยิ้ม
“อาจารย์!”
มู่จิ่วเห็นเขาก็กระโดดเข้าหาด้วยความดีใจ มือโอบกอดรอบคอเขา
จุ่นถีถูกนางโผเข้ามาในอ้อมอก จากนั้นมองคนที่เดินตามมาอยู่ตรงไหล่นาง
……………………….