ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 398 สงครามครั้งสุดท้าย (1)
คืนสุดท้ายในสวรรค์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ยามเช้าค่อยๆ เผยโฉมออกมา ทุกคนต่างรวมตัวกันมุ่งหน้าไปยังประตูสวรรค์แดนใต้
เทพเซียนเกือบทั้งสวรรค์ต่างก็พากันติดตามอวี้ตี้หวังหมู่ไป ทั้งตระกูลมู่หรง ตระกูลซ่างกวน กระทั่งพ่อแม่บรรพบุรุษของอาฝูก็มา
บริเวณประตูสวรรค์แดนใต้นั้นแน่นขนัด ไอมงคลตลบอบอวลไปเกือบทั้งฟ้าดิน อาฝูและจิ้งจอกทองน้อยรุ่ยเจี๋ยที่กลับคืนสู่ร่างเดิมเดินนำหน้า ตามด้วยซ่างกวนสุ่นและเสี่ยวซิง จากนั้นก็เป็นมู่จิ่วและลู่ยา เหล่าคนที่มารอรับเทพเซียนแห่งสวรรค์อันสูงส่งรออยู่ที่ประตูนานแล้ว เรียงแถวยืนกันเต็มพื้นที่
ลู่ยาจูงมือมู่จิ่วออกมารับการคารวะของเหล่าเซียน เดินไปตามทางที่ไร้ดอกไม้แต่กลับมีกลิ่นของมันกำจายไปทั่ว
นางเกิดมาต้อยต่ำ เดิมไม่เคยคิดหวังต้องนำคนหมู่มากเช่นนี้ แต่ลู่ยาบอกว่าช้าเร็วเดี๋ยวนางก็เคยชินไปเอง นางเลยทำได้เพียงยอมรับ
เดินออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ ขึ้นไปยังเกี้ยวที่หนี่ว์วาส่งมารับ พยักหน้าให้กับเหล่าเซียน ก่อนที่คณะเดินทางจะมุ่งหน้าไปยังสวรรค์สามสิบเก้าชั้น
บนสวรรค์สามสิบเก้าชั้นมีเหล่าหวงเตี้ยน ตี้เจียง และนกชิงหลวนมารอรับที่ประตูสวรรค์แล้ว เมื่อเกี้ยวลงเทียบ หงจวินหุนคุนและหนี่ว์วาก็ปรากฏตัวขึ้น หลังจากทักทายทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปยังแท่นที่อยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดทางตะวันออก ที่นี่กำยานธูปหอมและโต๊ะพิธีล้วนจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ลู่ยาจูงมือมู่จิ่วขึ้นไปยังบันไดหยกได้ครึ่งทางก็ปล่อยมือนาง ก่อนจะเข้าไปสมทบกับพวกหงจวินที่ยืนอยู่คนละทิศทั้งสี่ทิศ
มู่จิ่วเดินขึ้นไปยังขั้นบันไดขั้นสุดท้าย ทันใดนั้นก็มีพลังลอยวนอยู่ตรงดอกกล้วยไม้ที่ระหว่างคิ้ว ทุกย่างก้าวที่เดินไปจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับร่างกายมากขึ้นหนึ่งอย่าง จนเมื่อถึงใจกลางของแท่น เส้นผมดำขลับของนางก็สยายลงจนหมด หนี่ว์วาหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งขึ้นคลุมร่างนาง เสื้อให้เรียบร้อยโดยที่นางไม่ต้องลงมือเลย
เสื้อคลุมตัวใหญ่นี้มีพื้นสีเรียบกุ๊นด้วยสีแดง ไม่รู้ว่าใช้วัสดุอะไร ช่วงอกและช่วงล่างมีสัตว์วิเศษวิญญาณทั้งหกภพ แต่ละตัวทำท่าจะโผทะยาน พ่นลมปราณเซียนออกมา เฟิ่งหวงสองตัวที่โดนเข้าพลันสยายปีกออกมากลางอากาศ จากนั้นก็กลายร่างเป็นหญิงสาว คุกเข่าลงไปก่อนเอ่ยพร้อมกัน “นายหญิง”
หนี่ว์วายิ้มน้อยๆ “นี่คือสิ่งที่สร้างขึ้นจากพลังของเจ้า แต่ละตัวสามารถเรียกทั้งเผ่าพันธุ์ของมันมาได้ ใช้แทนกระเรียนกระดาษของเจ้าได้เลย”
สามารถเรียกสัตว์วิเศษของแต่ละเผ่าพันธุ์มาได้ทั้งหมด นี่ใช้แทนได้แค่กระเรียนกระดาษเสียที่ไหน?
มู่จิ่วเอ่ยขอบคุณ นิ้วมือขยับเบาๆ เหล่าสัตว์วิเศษก็กลับไปในเสื้อ
ทางหุนคุนก็ถือเตาทองคำท่าทางประณีตซับซ้อนขนาดเท่าฝ่ามือเข้ามา เอ่ยว่า “นี่คือเตาหกวิญญาณฟ้าดิน เป็นของที่อาจารย์สร้างขึ้นมาจากหินวิญญาณที่เหลือจากหกวิญญาณนั้น เหมาะจะให้เจ้าใช้ และมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะนำประสิทธิภาพของมันออกมาได้มากที่สุด”
มู่จิ่วมองบนฝาเตา มีคำว่าวิญญาณแห่งหกภพสลักไว้อยู่ดังคาด จากนั้นก็ทำให้มันเล็กลงแล้วเก็บเข้าแขนเสื้อไป
หงจวินกวักมือเรียกให้นางเข้าไปใกล้ ส่งจอกเหล้าหยกให้นาง ก่อนส่งสัญญาณให้นางคุกเข่าคำนับทางทิศเหนือ
นางคือวิญญาณแห่งฟ้า ฟ้าดินคือพ่อแม่ของนาง จากนี้นางก็ไม่ต้องทำความเคารพใครอีกแล้ว
หลังจากทำความเคารพเสร็จสิ้น หงจวินก็หยิบพู่กันทองขึ้นมา แต้มให้ดอกกล้วยไม้กลางหน้าผากนางกลายเป็นสีทอง ตอนที่ลดพู่กันลงก็เห็นว่าดอกไม้รอบตัวในระยะหมื่นลี้บานสะพรั่ง นกนับพันนับหมื่นชนิดต่างส่งเสียงร้อง แสงอาทิตย์แสงจันทร์ส่องแสงพร้อมกัน ส่องผ่านชั้นเมฆไปทั่วทั้งแปดทิศ
“เอาละ” หงจวินประสานมือเอ่ย “พลังร้ายสัมผัสได้แว่าเทพหญิงกลับมา พวกเราต้องรีบตีเหล็กตอนยังร้อน พวกเจ้าจัดการธุระให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนี้สามวันต้องทุ่มพละกำลังทั้งหมดที่คลื่นจิตพสุธา รีบจัดการเรื่องสำคัญให้เรียบร้อย พวกเจ้าจะได้แต่งงานกันเร็วขึ้น”
พูดจบเขาก็เหลือบมองลู่ยาอย่างเย็นชาคราหนึ่ง ก่อนจะเดินลงบันไดหยกไป
ลู่ยาจับมือมู่จิ่วไว้แน่น ใบหน้าพออกพอใจยิ่งนัก
ทั้งสวรรค์สามสิบเก้าชั้นมีเพียงเทพเซียนทั้งสี่อยู่เท่านั้น ดังนั้นจึงสงบกว่าสวรรค์เก้าชั้นตั้งไม่รู้เท่าไหร่
มู่จิ่วตามลู่ยากลับวังชิงเสวียน จากนั้นก็มีเหล่าสัตว์วิเศษหลากหลายในวังมาต้อนรับ เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง กล่าวถึงเพียงสามวันให้หลังต้องเดินทางไปทำลายพลังร้ายที่คลื่นจิตพสุธา นางย่อมต้องกังวลอยู่หลายส่วน
นางไม่เคยกลัวใครบนโลกใบนี้มาก่อน แต่ลู่จีกลับตายด้วยน้ำมือของพลังร้าย ทำให้นางจำต้องระแวดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ หากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น นางก็อาจทำผิดพลาดแบบเดิมได้ และการกำจัดพลังร้ายเป็นชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดมา นอกจากลู่ยาที่ไปเป็นเพื่อนนางแล้ว คนอื่นไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด แม้จุ่นถีจะเคยบอกว่าพาคนไปด้วยได้ แต่ก็ทำได้เพียงช่วยเหลืออยู่ด้านนอกเท่านั้น
ดังนั้นหลังจากนี้นางต้องอยู่ในตำหนัก รีบใช้เวลาสั่งสมพลังในร่าง
ลู่ยาก็ไม่ไปรบกวนนาง
ในความเป็นจริง ตอนนี้คือขั้นสุดท้ายแล้ว และก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด หากไม่มีการพ่ายแพ้ในอีกหนึ่งหมื่นปีต่อมา เขาคงไม่มองเรื่องคลื่นจิตพสุธาเป็นเรื่องสำคัญ แต่มู่จิ่วในอีกหนึ่งหมื่นปีให้หลังเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ความล้มเหลวนี้เหมือนฝันร้ายที่ฝังอยู่ในหัวเขาไม่ไปไหน จึงต้องตื่นตัวให้มากขึ้น
ถึงแม้หลายวันนี้พวกเขาจะอยู่ด้วยกันที่วังชิงเสวียน มู่จิ่วกลับไม่มีกะจิตกะใจจะออกไปเดินเล่น และก็ไม่ได้ไปเจอหน้าลู่ยาเลย
เมื่อมาถึงคืนวันที่สาม ตนเองรู้สึกว่าสามารถควบคุมพลังดั่งใจได้แล้ว จึงได้วางใจลงหลายส่วน
เพิ่งจะเดินออกจากประตูวัง ก็เห็นหนี่ว์วาหุนคุนอยู่ที่โถงใหญ่ กำลังนั่งล้อมวงดื่มชาร่วมกับลู่ยา
เมื่อเห็นนางออกมา หนี่ว์วาก็เอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่จิ่วพยักหน้า “ตอนนี้ไร้อุปสรรคใดๆ สามารถควบคุมได้สมบูรณ์แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” หนี่ว์วาก็วางใจลงหน่อย ดึงนางมานั่งลงเคียงข้างก่อนเอ่ย “ถึงแม้อานุภาพของพลังร้ายจะมาก แต่มันยังไม่เป็นรูปร่าง พลังที่แท้จริงย่อมไม่อาจสู้อีกหนึ่งหมื่นปีให้หลังได้ แต่ในขณะเดียวกันเจ้าก็เพิ่งฟื้นจิตต้นกำเนิดขึ้นมาได้ไม่นาน ดังนั้นก็นับได้ว่าไม่มีใครเสียเปรียบใคร พรุ่งนี้พวกเราไปกันทั้งหมดได้ แต่ตอนสำคัญพวกเราไม่อาจยื่นมือเข้ายุ่ง เจ้าพึ่งตัวเจ้าเองได้เท่านั้น”
มู่จิ่วพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว”
นี่เป็นชะตาชีวิตของนาง และเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งระหว่างนางและลู่ยา หากไม่ทำลายพลังร้ายจนสิ้น ก็ไม่อาจทำภารกิจให้เสร็จสมบูรณ์ นางและลู่ยาจะไม่อาจเคียงคู่กันได้ เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยื่นมือเข้าช่วย นางไม่ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน
ลู่ยาไม่ได้เอ่ยอะไร ยกชาขึ้นจิบ
เช้าวันถัดมา พวกเขาก็เตรียมตัวออกเดินทาง
เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นอยากตามไปด้วย พวกหงจวินทั้งสามคนสามารถตามไปถึงคลื่นจิตพสุธาได้ ยังมีจุ่นถีที่ส่งข่าวมาแต่เช้าว่าพวกมู่หัวไปถึงถิ่นทุรกันดารทางเหนือแล้ว มู่จิ่วไม่ขัดข้อง ใครอยากไปก็ไป ไม่ว่าเป็นหรือตาย ครั้งนี้นางก็อยากจะกำจัดพลังร้ายให้สิ้นซาก
มู่จิ่วหยิบเตาฟ้าดินขึ้นมา ก่อนจะขึ้นเมฆไปพร้อมกับลู่ยาและพวกเสี่ยวซิง มุ่งหน้าไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ
หนึ่งวันบนสวรรค์อันสูงส่งเท่ากับหนึ่งเดือนในสวรรค์เก้าชั้น อยู่ที่นี่ไม่กี่วัน ที่โลกเซียนก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว
ไม่ถึงพริบตาเดียวก็มาถึงคลื่นจิตพสุธา มีเหล่าเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่อยู่ด้วย พวกเสี่ยวซิงที่พลังบำเพ็ญต่ำจึงไม่กลัว อีกทั้งมู่จิ่วยังเป็นผู้นำหกวิญญาณ ตอนนี้นางสามารถควบคุมพลังได้ดั่งใจ เมื่อกดพลังทั้งสี่ทิศให้คลายไปเพื่อไม่ให้พวกมันทำร้ายใคร ก็ไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง
พวกมู่จิ่วเพิ่งมาถึง จุ่นถีกับพวกมู่หัวก็มาถึงเช่นกัน พื้นที่โล่งกันดารแห่งนี้พลันคึกคักขึ้นมาทันที
ประตูใหญ่ของวังคลื่นจิตพสุธาค่อยๆ ปรากฏขึ้นมากลางพื้นที่โล่ง พืชพรรณรอบด้านพากันผุดขึ้นราวกับถูกปลุกจิตวิญญาณ เพียงพริบตาเดียวรอบด้านก็เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณ
มู่จิ่วครุ่นคิด ก่อนเรียกนกกระจอกสีขาวบนเสื้อออกมา นกจำนวนมากพลันบินมาจากที่ไกลๆ ต่อจากนั้นสัตว์น้อยใหญ่มากมายก็ค่อยๆ โผล่หน้าจากในป่า
พื้นที่ที่เดิมทีกันดารไร้ผู้คนอุดมสมบูรณ์ขึ้นทันใด
………………………………………………