นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 248
บทที่ 248 มิอาจปล่อยเจ้าไป1
“โอ้? คนผู้นั้นก็คือฮ่องเต้อำมหิตที่กำลังตามตัวอยู่เชียวหรือ?”
ถางเปิ่นขุยแอบตกตะลึง!
เขารู้ว่าฮ่องเต้อำมหิตกำลังซุ่มฝึกฝนโหมกงอันแปลกประหลาดประเภทหนึ่งอยู่!
เพียงแต่ เขาไม่รู้ว่าทักษะของฮ่องเต้อำมหิตนั้นตื้นลึกหนาบางขนาดไหน!
และไม่รู้ว่าที่เขากำลังฝึกฝนอยู่เป็นโหมกงแบบใด
ดูเหมือนว่า ถ้าหากคนหนุ่มที่มีทักษะระดับปรมาจารย์คนนั้นก็คือฮ่องเต้อำมหิตแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็น่ากลัวเกินไปแล้ว
ในตอนนั้นโจว๋เทียนหังก็เคยทำเยี่ยงนี้มาก่อนกระมัง!
ยี่สิบกว่าปีก็สามารถบรรลุทักษะขั้นปรมาจารย์แล้ว?
ถ้าหากผ่านไปอีกสิบปีกันเล่า…
จะยังประมือได้หรือ?
ในใจถางเปิ่นขุยผุดประกายเข่นฆ่าวาบขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง!
แม้ว่าปฏิบัติการลอบสังหารในคืนนี้จะล้มเหลว เขาก็จะต้องขุดรากถอนโคนจักรพรรดิผู้ชั่วร้ายคนนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด!
ไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็ รอจนกระทั่งวันหน้าที่ทักษะของเขายิ่งสูงขั้นขึ้นเรื่อยๆ…
ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้แล้ว!
ซินเหยามองดูสีหน้าซีดเทาเปรอะเปื้อนของสองแม่ทัพ ก่อนยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ถอดหน้ากากของเจ้าเสียเถิด ลูกน้องของเจ้าตายไปเกือบหมดแล้ว! เหลือแค่คนเก่งกาจเพียงไม่กี่คนก็พ่ายแพ้หมดแล้ว ดูท่าเจ้าคงต้องจบเกมนี้ด้วยตัวเองเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ทิ้งสมบัติล้ำค่าและหัวของเจ้าไว้ เจ้าก็สามารถออกไปได้!”
เหลือหัวเอาไว้จะไปได้อย่างไรกัน?
นี่เห็นได้ชัดว่ามันคือคำเยาะเย้ยเปลือยๆ!
ถางเปิ่นขุยกล่าวอย่างโกรธแค้น “เจ้า…สารเลว!”
ซินเหยาเอ่ยอย่างใจเย็น “เจ้าอย่าได้เกลียดข้าเด็ดขาดเชียว! ข้าไม่เอาชีวิตของเจ้าหรอก สำหรับข้าแล้วชีวิตของเจ้าไม่มีค่าเลยสักเสี้ยว! แต่ว่าที่นี่มีเหล่าสหายและศิษย์อาจารย์ร้อยกว่าคนในยุทธภพเกรงว่าคงจะปล่อยเจ้าไปไม่ได้!”
จู่ๆ ฮัวโหล่หยูนก็คำรามเสียงดัง “นักบอดี้การ์ดทั้งสี่! อารักขาเจ้านายด้วยใจภักดี!”
ทันใดนั้น เขาก็ไปพร้อมกับอีกสามคน ทั้งหมดล้วนลอยตัวบินโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่คนยืนเรียงแถวตอน จนกลายเป็นกำแพงมนุษย์สายหนึ่ง…
“พวกเจ้าทั้งสี่มีความภักดีอย่างว่าจริงๆ ด้วย!”
ถางเปิ่นขุยระเบิดหัวเราะอย่างทุรชนออกมา และบินหนีไปพร้อมกับกล่องพัสดุในมือ!
“อย่าหนีนะ!”
ฮ่องเต้เหอถูที่อยู่ใกล้ถางเปิ่นขุยมากที่สุดถลาขึ้นไปอย่างดุดัน
ทว่ากลับถูกนักบอดี้การ์ดร่วมตัวกันสกัดกั้นลงมา!
ถึงแม้นักบอดี้การ์ดทั้งสี่จะได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าทั้งสี่คนร่วมมือกันก็ยังคงไว้ซึ่งพลังยับยั้งอันแข็งแกร่ง!
อีกอย่างถางเปิ่นขุยขอเพียงคว้าเอาโอกาสในเสี้ยววินาทีนี้ได้ ก็เพียงพอแล้ว
เขาบินหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับกล่องพัสดุ…
สองแม่ทัพที่อยู่เบื้องหลัง ก็บินหนีตามออกไปจากร้านจี้โม่เช่นเดียวกัน…
สุดท้าย ท่ามกลางกลองเลือดมหึมาแห่งโศกนาฏกรรมในร้านจี้โม่ ก็หลงเหลือเพียงทหารมรณะชุดดำสิบกว่าคนที่ยังไม่ได้ล้มตัวลงและนักบอดี้การ์ทั้งสี่ผู้ขึงขัง!
ซินเหยาปรนลมหายใจก่อนกล่าว “พวกเจ้าทำเช่นนี้ทำไม ติดตามเจ้านายพรรค์นี้ พวกเจ้าสี่คนเอาชีวิตของตัวเองไปปกป้องเขาไว้ เขากลับทอดทิ้งและปล่อยพวกเจ้าตามลำพังในช่วงเวลาวิกฤติเยี่ยงนี้!”
ฮัวโหล่หยูนกล่าว “นี่คือภารกิจของพวกเราทั้งสี่ ในเมื่อรับปากจะขายชีวิตให้เขาแล้ว ก็จะไม่คืนคำเป็นอันขาด!”
ซินเหยาเอ่ย “ข้าใคร่รู่ยิ่งนัก พวกเจ้าสี่คนไม่เหมือนคนละโมบในทรัพย์สินเลย เหตุใดจึงต้องติดตามคนถ่อยๆ แบบนี้ด้วย เขาไม่คู่ควรให้พวกเขามอบชีวิตด้วยหรอก!”
ฮัวโหล่หยูนพูด “ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ากังวลใจ! สรุปแล้วพวกเราสี่คนจะไม่ทรยศต่อเจ้านายเป็นอันขาด!”
จู่ๆ โอหยางซิงเฉินก็เอ่ยคำอย่างค่อนข้างสลดใจ “เหตุใดพวกเจ้าสี่คนถึงหักหลังร้านจี้โม่ หลายปีมานี้ ร้านจี้โม่ปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่บกพร่องเลย ข้าโอหยางซิงเฉินจะออกปากถามเองว่าแต่ไรมามิเคยปฏิบัติต่อพวกเจ้าเกินเหตุเลย เหตุใดพวกเจ้าจึงหักหลังเจ้านายอย่างข้าได้ลงคอ?”
เจี้ยนหารยีกล่าวพลางหัวเราะเย็นชา “พวกเราสี่คนรับใช้ร้านจี้โม่มาใกล้จะสิบปี กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเจ้า และก็เป็นครั้งแรกที่เคยได้ชื่อโอหยางซิงเฉินชื่อนี้!”
โอหยางซิงเฉินกล่าว “ข้าต้องเก็บงำตัวตนของตนเองอย่างเศร้าสลด ถึงแม้ข้าจะมีเรื่องปกปิดต่อพวกเจ้า แต่ว่ามิเคยปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างเกินเลย!”
เจี้ยนหารยีหัวเราะเย็นชา ไม่พูดอะไรอีก
ฮัวโหล่หยูนกล่าวพลางยิ้ม “เจ้าของร้าน! เจ้ามีเรื่องปกปิดซ่อนงำพวกเราเยี่ยงนี้ แล้วยังเรียกร้องให้พวกเรารับใช้เจ้าอย่างเต็มใจไปทำไมกัน อีกอย่างวันแรกที่พวกเราสี่คนมาที่ร้านจี้โม่ก็เคยพูดไปแล้ว พวกเราลี้ภัยในร้านจี้โม่ก็เพียงเพราะต้องการตามหาเจ้านายเท่านั้น ถ้าหากวันใดวันหนึ่งพวกเราอยากไป ก็สามารถเดินจากไปได้ทุกเมื่อ!”
กลางแววตาของโอหยางซิงเฉินผุดประกายสลดใจเสี้ยวหนึ่ง “ข้าเพียงแต่เสียดายผู้มากพรสวรรค์อย่างพวกเจ้าไม่กี่คนนี้…ช่างน่าเสียดายจริงๆ!”
“พูดพร่ำทำเพลงอะไรกับเขาอยู่!”
“ฆ่าพวกเขาสี่คนเสีย”
“เจ้านายหนีไปแล้ว”
“ก็จงฆ่าลูกสมุนทั้งหมดเสียประไร!”
“ฆ่าพวกมันสี่คนให้ตายตกกันไปก่อน จากนั้นค่อยไล่ตามเจ้านายที่หนีไปนู่น!”
ฝูงชนเริ่มเดือดดาลขึ้น!
โอหยางซิงเฉินเอ่ย “นักบอดี้การ์ดทั้งสี่ พวกเจ้าอยู่ร้านจี้โม่มาตั้งหลายปีขนาดนี้ ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบหน้า แต่ว่าความรู้สึกของข้าที่มีต่อพวกเจ้าดูราวกับพี่น้องที่รู้จักกันมานานหลายปีไม่ผิดเพี้ยน ถ้าหากตอนนี้พวกเจ้ายอมหลีกทาง ข้าคุณชายรูปวิการขอรับรอง ใต้นภานี้จะไม่มีผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวายให้พวกเจ้าแม้แต่คนเดียว!”
ซินเหยากล่าว “ยังจะเอ่ยชื่อผู้นำชั่วร้ายนั่นออกมาอีก!”
โอหยางซิงเฉินว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้นำอำมหิต?”
ซินเหยาว่า “เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะตัดพ้อว่าท่านไม่ซื่อสัตย์ต่อพวกเขามากพอ ในเมื่อพวกเขามีใจภักดีต่อผู้นำอำมหิตคนนั้นตั้งเพียงนี้ ย่อมจะต้องรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นแน่แท้!”
เจี้ยนหารยีกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เฮอะ! ฝันไปเถิด! พวกเรานักบอดี้การ์ดทั้งสี่จะไม่หักหลังเจ้านายตนเองแน่! ถึงแม้เจ้าคนถ่อยคนนั้นจะไม่คู่ควรเป็นเจ้านายของพวกเราเลยสักนิดก็ตาม ระหว่างพวกเราและเขาเป็นเพียงแต่น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่ากันก็เท่านั้น แต่ว่าในเมื่อตอบตกลงว่าจะช่วยเขาสุดชีวิต พวกเรานักบอดี้การ์ดทั้งสี่จะนึกไม่เสียใจภายหลังเป็นอันขาด!”
ซินเหยาปรนลมหายใจเบาๆ เล็กน้อย “ตลอดทั้งปีหาคนที่ภักดีเยี่ยงนี้มีไม่มากนัก คนถ่อยผู้นั้นทำกับพวกเจ้าถึงขนาดนี้ นั่นคือความหายนะของเขาแล้ว มีพวกเจ้าคอยเอาชีวิตเข้าแลกขนาดนี้ นั่นก็คือวาสนาของพวกเขาเช่นเดียวกัน!”
โอหยางซิงเฉินกล่าว “พวกเจ้าไม่นึกถึงชีวิตแล้วหรือไรกัน พวกเจ้ายังต้องการค้นหาเจ้านายที่แท้จริงของพวกเจ้าอยู่มิใช่หรือ ขอเพียงพวกเจ้าหลีกทาง จากนี้ไปพวกเจ้ายังสามารถอยู่ในร้านจี้โม่ต่อไปได้!”
ฮัวโหล่หยูนกล่าวแผ่วเบา “เจ้าของร้าน ในเมื่อเจ้าบอกว่าเข้าใจพวกเราไม่กี่คนนี้เป็นอย่างดี เช่นนั้นน่าจะรู้ว่าพวกเราคงไม่ยอมหลีกทางให้เป็นอันขาด!”