นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 266
บทที่ 266 ข้าจะฆ่าเจ้า1
“ท่านอาจารย์ ฮ่องกงคือที่ไหน”
“เป็นบ้านของข้าเอง”
“ท่านอาจารย์ ครั้งก่อนท่านไม่ได้บอกว่าบ้านเกิดท่านอยู่ประเทศจีนหรอกหรือ”
“เจ้าเด็กซนนี่พูดมากความขนาดนี้? รีบกลับไปเรียกคน ห้าสิบคนก็เพียงพอแล้ว คืนนี้พวกเราจะไปล้างโคตรจวนเฉินเปียว ทำลายกองกำลังของเขาให้สิ้นซาก แล้วก็ เรียกพี่สาวของเจ้า เอารถม้ามาด้วยคันหนึ่ง ข้าจะพูดเรื่องเกี่ยวกับสหภาพแรงงานกับนางไปตามทาง แต่ไม่ต้องบอกอาจารย์น้องของเจ้า ไม่เช่นนั้นล่ะก็หากเขารู้ว่าข้าไปช่วยพวกเจ้าต่อสู้ เขาจะต้องพ่วงมาด้วยเป็นแน่”
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
ส้งชิงและหลัวเสี่ยวหู่ต่างพากันชื่นมื่น รีบกลับไปเลือกทหารอย่างรวดเร็ว
ส้งชิงและหลัวเสี่ยวหู่ไปแล้ว เสี่ยวป๋านจึงย่องออกมาจากในมุม
ซินเหยากล่าวกลั้วหัวเราะ “เสี่ยวป๋านงี่เง่า เจ้าไม่ต้องหลบพวกเขาหรอก ส้งชิงไม่ใช่ว่าเคยเห็นเจ้าตั้งนานแล้วหรือ นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่อาจทำร้ายเจ้าได้ จากนี้ไปเจ้าไม่ดื่มเหล้าก็ไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้แล้ว คืนนี้ เจ้านายอย่างข้าจะพาเจ้าไปต่อสู้ด้วย ทำให้เลือดของเจ้าเดือดพล่านเสียหน่อย”
เฉินเปียวเรียกคนรับใช้ให้ตระเตรียมสุราอาหารมื้อใหญ่มาไว้สำหรับชีวหยุน
ทว่าท่าทีของชีวหยุนกลับเย็นชา นอกจากช่วยเขาออกหน้าต่อสู้แล้ว อันที่จริงเวลาอื่นก็มักจะมีท่าทางเย็นเยียบเสมอ ราวกับเป็นเทพธิดาที่ไม่อาจเข้าใกล้
ข้อนี้ทำให้เฉินเปียวผู้ซึ่งปรารถนาความงามและวรยุทธ์ของชีวหยุนรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
ไม่ว่าเขาจะเอาใจร้อยวิธีอย่างไร ชีวหยุนก็ไม่ไหวติง
“ดึกมากแล้ว นายท่านเฉิน ท่านควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว” ชีวหยุนส่งแขกอย่างค่อนข้างไม่อดทน เฉินเปียวผู้นี้ยังคงไม่รู้ชั่วดีอะไรเลยจริงๆ สินะ
ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังอยู่ในห้องส่วนตัวกับหญิงสาว ไม่ยอมออกไป
หากว่าเฉินเปียวคนนี้มิใช่คนของเฉิงเสี้ยง ป่านนี้ชีวหยุนคงจะสั่งสอนเขาอย่างดีเลยเชียวแหละ
“พี่สาวชีวหยุน อย่าได้ไม่รับไมตรีอย่างเย็นชาขนาดนี้เลยน่า เฉิงเสี้ยงให้เจ้าปกป้องข้า เจ้ากลับเย็นชาปานนี้ ไม่ทันไรก็ไล่ข้าเสียแล้ว ถ้าหากมีคนมาลอบทำร้ายข้าจะทำอย่างไรเล่า” เฉินเปียวออกท่าทางน่าสงสาร
ชีวหยุนกล่าวอย่างรังเกียจเต็มกำลัง “นี่มันยามสามแล้วนะ!”
เฉินเปียวว่า “ไม่แน่ว่าพวกโจรเหล่านั้นอาจจะมาลอบทำร้ายข้ายามสี่ก็ได้”
ชีวหยุนเบื่อหน่ายกับความไร้ยางอายของเขาเต็มทนแล้ว “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นทางที่ดีควรแทงท่านให้ตายไปเลย”
เฉินเปียวกล่าว “ข้าจะถูกแทงตายแล้ว เจ้าจะไปอธิบายต่อเฉิงเสี้ยงอย่างไรกัน”
ชีวหยุนพูด “อย่างไรเสีย หากว่าท่านยังไม่ไปละก็ ต่อให้ไม่มีใครมาแทงท่าน ท่านเองก็คงตายได้!”
เฉินเปียวเอ่ย “เพราะเหตุใด”
ในดวงตาของชีวหยุนทอแววโกรธเคือง “ข้าจะฆ่าท่านเอง!”
“นายท่าน นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่ไม่ดีขึ้นแล้ว พวกขโมยเข้ามาแล้ว” ทันใดนั้น ผู้ดูแลสวนคนหนึ่งก็วิ่งถลาหน้าตาตื่นเข้ามา
เฉินเปียวพูด “ตื่นตระหนกอะไรกัน? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พวกโจรมาจากที่ไหน มีโจรมาแล้วจริงๆ หรือ โจรอะไรถึงได้บังอาจกล้าเข้ามาก่อความวุ่นวายในจวนของข้าเฉินเปียวได้!”
ผู้ดูแลสวนกล่าวอย่างตื่นตระหนก “เป็นคนของสำนักชิงหลงขอรับ!”
เฉินเปียวกล่าว “สองสามวันมานี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาถูกพวกเราถอนรากไปแล้วหรอกหรือ”
ผู้ดูแลสวนพูด “ครั้งนี้พวกเขาหายอดฝีมือมาคนหนึ่ง เก่งกาจนัก สังหารตลอดทางนับตั้งแต่หน้าประตูถึงหลังสวนแล้วขอรับ!”
เฉินเปียวกล่าวอย่างหงุดหงิด “ยอดฝีมือ? พวกเขาไม่รู้เชียวหรือว่าแม่นางชีวหยุนหนึ่งในนักบอดี้การ์ดทั้งสี่อยู่ที่นี่พอดี ถึงขนาดกล้ามาก่อเรื่อง? แม่นางชีวหยุน รบกวนท่านไปปราบพวกมันสักหน่อยเถิด!”
“แม่นางซ่ง สิ่งที่พวกเราหารือกันเมื่อครู่ท่านจำได้แล้วใช่หรือไม่”
“อื้อ ข้าใช้พู่กันและกระดาษจดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
ส้งหมิ่นยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อมองดูกระดาษที่เขียนตัวอักษรหนาทึบเต็มไปหมดจำนวนยี่สิบกว่าแผ่นเป็นปึกใหญ่
ซินเหยาเอ่ยพลางยิ้ม “ท่านไม่ต้องจดละเอียดยิบขนาดนี้ก็ได้”
ส้งหมิ่นกล่าว “ท่านมอบภารกิจสำคัญขนาดนี้ให้แก่ข้า! ข้าจะไม่จัดการด้วยความละเอียดได้อย่างไรกันเล่า อีกอย่างนี่ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่มำเพื่อท่าน และไม่ใช่เรื่องที่ทำเพื่อตัวข้าเอง นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อพี่น้องประชาชนคนยากไร้ทั่วทั้งเมือง ข้าไม่เข้าใจอะไรสักนิด ทำได้แค่เพียงใช้วิธีการโง่ๆ จดเอาความรู้ที่ท่านสอนให้ข้าเอาไว้เท่านั้น จากนี้ไปเมื่อครั้นพบเจอความยากลำบากคงไม่อาจให้รบกวนท่านได้ทุกครั้งหรอกกระมัง”
ซินเหยากล่าวพลางยิ้มบางๆ “ท่านมีความเอาใส่ใจมากกว่าส้งชิงผู้นิ่งทึ่มนั่นเป็นไหนๆ ดูท่าแล้วเรื่องจัดตั้งสหภาพแรงงานนี้ ไปหาท่านก็เป็นการไปหาถูกคนแล้วล่ะ! ท่านไปจัดการเรื่องราวด้วยความอาจหาญและวางใจด้วยตนเองเถิด ให้พี่สี่ชี้แนะต่อท่านให้มากๆ เขารู้จักคนเยอะ เคยเห็นโลกต่างๆ มากมาย สิ่งที่เข้าใจก็มีมากกว่าข้ามากมายนัก ถ้าหากท่านมีอะไรที่ไม่เข้าใจก็ไปถามเขา ถ้าหากพบเจอกับปัญหาอื่นๆ เรื่องที่ต้องการใช้วรยุทธ์ในการแก้ปัญหาก็บอกส้งชิงไปตรงๆ ได้เลย”
ส้งหมิ่นพยักหน้า
บนใบหน้าของหน้าผุดรอยยิ้ม มันคือการปลอบโยนและปลื้มปรีติ!
เดิมทีนางและส้งชิงสองพี่น้อง ก็เป็นเพียงแค่ประชาชนคนธรรมดาตัวเล็กๆ ในเมืองหลวงเท่านั้น ยามปกติมักถูกกดขี่รังแก ไม่กล้าแม้แต่จะขัดขืนสักแอะ!
ทว่าหลังจากได้พบกับโจว๋หยุนถิงและซินเหยาแล้ว…
ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง!
โจว๋หยุนถิงและซินเหยาไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตพวกเขาสองพี่น้องสามคราสี่ครั้งเท่านั้น…
แต่ยังนำพาพวกเขาทั้งสองเข้าสู่โลกที่ไม่เคยจินตนาการถึงมันมาก่อนเลย…
ในคราแรกส้งชิงวิงวอนให้ซินเหยารับเป็นศิษย์
ซินเหยาถูกบังคับให้ยอมรับศิษย์สองคนนี้อย่างจนปัญญา และตอนแรกที่มีแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดตั้งระบบกองกำลังสังคมยุคมืดนี้…
คนเป็นพี่สาวอย่างส้งหมิ่นนั้น อันที่จริงไม่ได้เห็นด้วยเลยสักนิด
นางรู้สึกว่าความคิดเช่นนี้ช่างน่านักยิ่งนัก!
เด็กที่ยากจนไม่กี่คน จะทำอะไรได้
นึกอยากทำการใหญ่?
อยากกลายเป็นวีรบุรุษให้คนทั่วหล้าเลื่อมใสศรัทธา?
อยากช่วยเหลือคนจนที่ทุกข์ทรมานทั่วหล้า?
อายุปาไปสิบเก้าปีแล้วยังไม่เป็นวรยุทธ์ โกยากจนที่ไม่มีเงินและอำนาจจะทำเรื่องอย่างว่าได้อย่างไรกันเล่า
แรกเริ่มส้งหมิ่นไม่คาดคิดว่าส้งชิง หลัวเสี่ยวหู่และคนอื่นๆ จะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ไม่อยากทำลายความศรัทธาในชีวิตของเด็กๆ เหล่านี้ จึงอนุญาตให้พวกเขาได้มีสภาพจิตใจสนุกสนานตามเลยเท่านั้น
ส้งหมิ่นคิดในใจ
แม้ว่ามันจะล้มเหลว ก็เป็นเรื่องดีที่ได้รับการสั่งสอน!
อย่างน้อยๆ จากนี้ไปก็จะเป็นประชาชนคนทั่วไปที่สงบสุข ไม่มีความคิดผิดแผกอะไรอีกต่อไป!
ทว่า…
ตอนนี้ความคิดของส้งหมิ่นเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์เลยทีเดียว
นางยอมรับอย่างจริงจังว่าความคิดที่น่าตกใจและเย้ายวนของซินเหยานั้น ฟังอย่างไรก็ดูไร้สาระและแปลกประหลาดในตอนแรก
ทว่าทุกครั้งที่ความจริงปรากฏ นางพูดถูกทุกครั้ง
ดูเหมือนว่านางจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็นนางมักจะจับเบาะแสบางอย่างที่คนอื่นๆ จับไม่ได้…