นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 303
บทที่ 303 ไม่ได้เข้าใกล้สาวงามมานานแล้ว2
“ขอรับ ฮ่องเต้ เหล่าบริพารที่ต้องเข้าเวรเช้าน่าจะมาในเร็วๆ นี้แล้ว”
“เจ้าไปจัดการข้าทาสที่จะเข้ามาปรนนิบัติในวังมากๆ หน่อย พอดีบอกพวกเขาว่าจากนี้ไปข้าจะไม่สั่งประหารส่งเดชอีกแล้ว”
“ฮ่องเต้ พระองค์ทรงเป็นอะไรไป พระองค์อย่าได้ข่มขวัญข้าทาสเชียวนะขอรับ”
หลี่เหลียนคางรู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของฮ่องเต้อำมหิต
ฮ่องเต้อำมหิตยิ้มบางๆ ก่อนกล่าว “ข้าเป็นกษัตริย์แห่งประเทศนี้ ประหารเหล่านางในขันทีนับว่าเป็นพรสวรรค์อันใดกัน ทรงอาชาศึกนำพลทหารนับพัน ออกศึกสู้รบจึงจะเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง”
หลี่เหลียนคางกล่าว “ฮ่องเต้ นับตั้งแต่หลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นจากความตายเมื่อครั้งก่อน อุปนิสัยก็เปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวดนะขอรับ”
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าว “ดีขึ้นหรือแย่ลง”
หลี่เหลียนคางกล่าว “ข้าทาสเองก็บอกไม่ถูกว่าดีขึ้นหรือแย่ลง เพียงแต่ฮ่องเต้ก่อนหน้านี้มักจะบันดาลโทสะกับเรื่องเล็กน้อย เย็นชาไร้ความรู้สึกต่อคนใดๆ และเรื่องใดๆ”
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าว “แล้วตอนนี้เล่า”
หลี่เหลียนคางเอ่ย “ตอนนี้ฝ่าบาทรู้วิธีควบคุมอารมณ์ ใช้อารมณ์ควบคุมจัดการเหล่าขุนนางพวกนั้นอย่างสมเหตุสมผล วันนี่ฮ่องเต้มิได้สั่งประหารใต้เท้าเหอเทียนจ้าว เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดและมีไหวพริบยิ่งนัก ใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งจัดการต่อฮ่องเต้เหอถู เป็นคุณสมบัติที่ชาญฉลาดและวิสัยทัศน์กว้างไกลอย่างที่จักรพรรดิพระองค์หนึ่งพึงมี…”
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าว “เช่นนั้นก็ดีขึ้นแล้วน่ะสิ”
หลี่เหลียนคางเอ่ย “ข้าทาสเกรงว่าในพระทัยของฝ่าบาทจะทรงเจ็บปวด…ถ้าหากฮ่องเต้ประสงค์จะพบพระนางซินเหยาละก็ ข้าทาสเต็มใจมอบการถวายชีวิตนำพระนางซินเหยากลับวังมาโดยไม่เสียดายว่าจะสูญเสียอะไรไปบ้าง พระนางซินเหยาเป็นคนของจวนอ๋องโจว๋ ข้าทาสจะไปขอร้องที่จวนอ๋องโจว๋ ไม่เชื่อว่าจวนอ๋องโจว๋จะกล้าไม่ส่งคนมา”
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าวอย่างเย็นชา “จากนี้อย่าได้เอ่ยถึงโจว๋ซินเหยาสามคำนี้ต่อหน้าข้าเด็ดขาด”
“ข้าทาสรับทราบแล้ว”
ฟ้าสว่างโร่แล้ว
ซินเหยาและนักบอดี้การ์ดทั้งสี่ออกตามหาตลอดทั้งคืน แต่ก็ยังตามที่แหล่งที่อยู่ของโจว๋ปี้หลัวไม่พบ…
นางไม่ได้กลับจวนอ๋องโจว๋…
ร้านพักน้อยใหญ่ในเมืองหลวงก็หาคนไม่พบเช่นเดียวกัน
จวนอ๋องโจว๋รู้ว่าโจว๋ปี้หลัวถึงขนาดฉวยโอกาสตอนที่ส่งจดหมายแอบขโมยของของซินเหยาจากนั้นก็หนีไป
เรื่องนี้ทำให้นายท่านโจว๋เดือดดาลเสียจนตบเข้าที่เก้าอี้ถ้ายซือจนสะเทือน
จากนั้นก็ออกคำสั่งให้ทั้งคนหนุ่มคนแก่และหนุ่มสาวทั้งหมดในจวนอ๋องโจว๋ออกไปตามล่าค้นหาที่อยู่ของโจว๋ปี้หลัว
ซ้ำยังออกคำสั่ง
ถ้าเป็นก็ให้เห็นคน ตายก็ต้องได้เห็นเถ้ากระดูก
จวนอ๋องโจว๋ สำนักชิงหลง นักบอดี้การ์ดทั้งสี่…พละกำลังมหาศาลเยี่ยงนี้ถึงขนาดค้นหาแหล่งที่อยู่ของโจว๋ปี้หลัวไม่พบ…
ซินเหยารู้สึกว่าค่อนข้างแปลกประหลาด…
เป็นไปไม่ได้ที่โจว๋ปี้หลัวจะมีความสามารถหลบหนีออกจากเมืองหลวงภายในเวลาอันน้อยนิดขนาดนี้…
สีนภาสว่างไสว ผู้คนบนท้องถนนเพิ่มขึ้นทีละเล็กทะน้อย…
ระดับความยากในการตามหาคนก็ยิ่งทบทวีมากขึ้นหลายโข
ซินเหยามองไปยังกลุ่มคนที่สัญจรไปมาบนท้องถนน ทันใดนั้นก็ฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้!
“เจี้ยนหารยี!”
นางร้องเรียกเจี้ยนหารยีที่กำลังค้นหาอยู่เบื้องหน้า
“เจ้านาย”
เจี้ยนหารยีถอยกลับมา
ซินเหยากล่าว “ข้ารู้แล้วว่านางอยู่ที่ไหน! เรียกคนทั้งหมดไปถอนทัพ ต่างฝ่ายต่างกลับไปพักผ่อนตามอัธยาศัยได้แล้ว!”
เจี้ยนหารยีกล่าว “เจ้านายรู้แล้วว่านางอยู่ที่ไหน?”
ซินเหยาเอ่ย “นางเป็นแค่คุณหนูหยิ่งผยองที่อวดศักดาคนหนึ่งก็เท่านั้น จะเคยผ่านประสบการณ์ตกระกำลำบากเสียที่ไหน กลัวแต่ว่านางขโมยของแล้ว จะตกใจจนขวัญกระเจิงสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความกล้าที่จะวิ่งหนีก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว! พวกเราประเมินนางสูงเกินไป! นางไม่ได้จะฉลาดขนาดนั้นหรอก! ช่วงเวลาอันแสนสั้นขนาดนั้นจะซ่อนตัวได้อย่างไร้ร่องรอย…”
เจี้ยนหารยีตกใจ ก่อนกล่าว “ความหมายของเจ้านายคือ…”
ซินเหยาพยักหน้าพลางเอ่ย “ใช่! นางจะต้องอยู่ที่นั่น! เจ้ารีบเรียกคนถอนทัพบัดเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องหาแล้ว! ข้าจะไปหาโจว๋ปี้หลัวเอง!”
เจี้ยนหารยีกล่าว “ขอรับ! เจ้านายนำไปก่อนหนึ่งก้าว ข้าประกาศแก่พวกเขาแล้วจะรีบตามไป!”
“ดี!”
ซินเหยากระโจนขึ้นหลังม้า ตัดสายบังเหียนที่ผูกกับรถม้าเอาไว้ จากนั้นก็ควบม้าออกไปโดยไม่ขัดข้อง!
“เพียะ!”
“เพียะ!”
“เพียะ!”
ซินเหยาควบม้าตะบึงไป มาหยุดยังหน้าประตูสำนักหลักของสำนักชิงหลง กระโดดลงจากม้าพลันออกคำสั่งปิดสำนักชิงหลงทันที “ประตูหลัก ประตูข้างๆ ประตูหลัง ทางออกทั้งหมด แม้แต่รูสุนัขก็ต้องส่งคนไปเฝ้า ไม่ว่าคนผู้ใด อนุญาตให้เข้ามา แต่ไม่อนุญาตให้ออกไป!”
องครักษ์รู้จักซินเหยาตั้งนานแล้ว รู้ว่านางเป็นอาจารย์ของท่านผู้ช่วย จะกล้ายืดยาดเสียที่ใด จึงรีบไปดำเนินการตามคำสั่งในทันที
หลังจากที่ซินเหยาเอ่ยจบ ก็ตรงพรวดไปยังห้องปีกลานด้านหลัง!
ห้องปีกพักแขกและลานด้านหลังของสำนักชิงหลงได้แยกตัวออกด้วยรั้วกั้นที่สร้างขึ้นมาใหม่ เหลือเพียงประตูจันทร์เสี้ยวแค่เส้นทางเดียวเท่านั้น…
ซินเหยาเรียกศิษย์สองคนมาเฝ้าประตูเอาไว้ จากนั้นก็ดึงดาบพกตรงช่วงเอวของศิษย์คนหนึ่งออกมา และเข้าลานด้านหลังไปคนเดียว
ลานด้านหลังไม่ได้กว้างนัก เล็กกว่าเรือนลั่วหวี่และสมถะกว่ามากมายนัก
แต่ว่าต้นมะเดื่อสูงใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสระบัวขนาดเล็ก เงาต้นไม้ส่องสะท้อนอยู่ในน้ำ…
ด้านหน้าปลูกต้นสนสองต้น และดอกไม้เล็กๆ อยู่หลายแปลง…
ซินเหยากวาดสายตามองรอบๆ ลานด้านหลังแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็มองเห็นห้องเก็บฟืนที่ปิดสนิทอยู่ตรงมุมกำแพงห้องหนึ่ง…
“เฮอะ!”
ซินเหยากระตุกยิ้มมุมปาก ชูดาบในมือขึ้น พลางเดินเข้าไปอย่างเนิบนาบ!
นางเดินมาถึงหน้าประตูห้องเก็บฟืน แต่มิได้รีบเร่งที่จะเปิดประตูของห้องเก็บฟืน…
นางชูดาบในมือขึ้น และเคาะเบาๆ บนบานประตู ปึง! ปึง! ปึง!
ในเรียวปากก็เอ่ยคำอย่างตั้งใจพลางไม่ตั้งใจพลาง “ทุกๆ คนล้วนเคยทำผิด! แต่ว่ามีความผิดประเภทหนึ่งที่เมื่อพลั้งไปแล้วก็มิอาจกลับใจ คนบางประเภทรู้ว่าผิดและยังแก้ไขข้อผิดพลาด คนประเภทหลังมักได้รับการให้อภัยและความเห็นอกเห็นใจ ถ้าหากมีบางคนที่ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ยอมกลับใจละก็…”
“ปึง! ปึง! ปึง!”
ตัวดาบฟันเข้าที่บานประตูห้องเก็บฟืนเบาๆ…
ซินเหยาเอ่ยคำต่อ “ข้ารู้ว่าเรื่อยมาเจ้าไม่เคยเห็นข้าเป็นน้องสาวเลย”
ตอนต้นข้าเองก็เข้าใจว่าตนเองไม่ใช่คนของจวนอ๋องโจว๋”
“ทว่าต่อมาได้รับการพิสูจน์ความจริงแล้ว พวกเราเป็นพี่น้องแท้ๆ กันจริงๆ”
“เจ้าไม่เห็นข้าเป็นน้องสาวก็ไม่เป็นไร”
“แต่ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่สาวเสมอ!”
“ปีนี้พี่สาวก็น่าจะยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสองปีแล้วกระมัง”
“เด็กสาวในวัยนี้ น่าจะออกเรือนไปตั้งนานแล้ว”
“ถ้าหากตอนนี้เจ้ายอมออกมาเองแต่โดยดี”
“ข้ารับรองว่าทั้งสำนักชิงหลงและจวนอ๋องโจว๋ล้วนไม่มีผู้ใดกล้าวอแวกับเจ้าได้แน่!”