นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 347
บทที่347 เรื่องสวนดอกไม้2
หลังจากที่ยุ่งกันมาทั้งวัน
เสี่ยวหงก็มานับเงิน นับรวมๆกันได้ ขายโทนเนอร์ล้างเครื่องสำอางได้สองขวด และมาสก์หน้าสามแผ่น
ทั้งหมด สี่สิบห้าตำลึง
แบบนี้เรียกขายดีหรือไม่ดีเนี่ย
เกินคาดจากที่ซินเหยาคิดไว้
ครึ่งเดือนมานี้ นางและหมอต่างคิดค้นจนได้ยามา
ในที่สุดก็สามารถเลียนแบบเครื่องสำอางของศตวรรษที่21 ออกมาได้และมันก็มาจากธรรมชาติล้วนๆ
ถึงแม้จะไม่ดีเท่าของศตวรรษที่21แต่สำหรับโลกนี้ที่ไม่เคยมีเครื่องสำอางมาก่อน ก็เป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับโลกนี้
และที่สำคัญคือ ทั้งหมดนี้ทำมาจากธรรมชาติล้วนๆไม่มีพิษ
ทำไมคนถึงไม่ยอมซื้อกันนะ
ราคาที่ถูกที่สุดคือ ห้าตำลึง แพงที่สุดคือชุดรักษาผิวให้เต่งตึง หนึ่งชุด สี่ร้อยยี่สิบเหรียญ ราคานี้สำหรับคนในวังหลวงแล้วมันก็น่าจะรับได้นะ
ทำไมไม่มีคนซื้อล่ะ
ซินเหยาคิดอย่างละเอียด
ข้อแรก
ต้องไม่ใช่ปัญหาของผลิตภัณฑ์แน่ นางเอาเครื่องสำอางจากกล่องสอดแนมจากศตวรรษที่21มาเลียนแบบทำ ผลิตภัณฑ์ไม่มีปัญหาแน่นอน
ข้อที่สอง
แน่นอนว่าไม่ใช่ปัญหาของราคา
ซินเหยาคิดมาตลอดว่านโยบายเรื่องตั๋วเงินของราชวงศ์เทียนส้งนั้นคือนโยบายที่ดีที่สุด
ไม่เหมือนกับศตวรรษที่21ที่มีฟองสบู่แตก และภาวะเงินเฟ้อ
เงินมีค่ามาก
สองตำลึงสำหรับชาวบ้านธรรมดาสามารถใช้ได้เป็นเดือน
ชาวบ้านหาเงิน ได้เยอะก็เก็บภาษีแพง แต่โชคดีที่ไม่มีภาวะเงินเฟ้อ เงินพวกนี้ก็สามารถซื้อได้
เดิมทีซินเหยาคิดว่าตอนที่หาเงินโจว๋หยุนถิงพิมพ์หนังสือ และยังเคยเอาไปเทียบกับโรงผลิตเงินที่ทำได้ละเอียดกว่า
ผลิตตั๋วเงินแน่นอนว่าต้องดีและเร็ว
และยังสามารถรวยได้ภายในคือเดียว
แต่ถ้าหากตั๋วเงินเยอะเกิน…..
ตลาดก็จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ
เนื้อหมูตอนนี้ห้าอีแปะครึ่งโล ถ้าขึ้นราคาถึงยี่สิบอีแปะ ประชาชนก็จะไม่สามารถซื้อเนื้อหมูกินได้
ซินเหยานางไม่สามารถเป็นคนมีคุณธรรมอย่างที่ปากพูดได้แต่นางก็ไม่อยากทำร้ายประชาชน
นางรู้ว่าประชาชนพวกนั้นลำบากที่สุด
ในศตวรรษที่21เพื่อจะซื้อบ้าน ต้องใช้เวลาในการผ่อนสิบกว่าปี
ราชวงศ์เทียนส้งมีระบบในการผลิตเงินให้ประชาชนใช้อย่างมีความสุข
ซินเหยายังไม่เคยเห็นประชาชนที่ไม่สามารถซื้อบ้านอยู่ได้
ราคาของเครื่องสำอาง ซินเหยาคิดเทียบราคาซื้อขายแล้ว
สุดท้ายถึงได้ราคานี้มา
ผู้หญิงในวังหลวง นางสนมทั้งหลายสามารถซื้อเครื่องสำอางเป็นชุดของนางได้
ส่วนคนที่อยู่ในขั้นที่ต่ำลงมาหน่อยแค่โทนเนอร์ล้างเครื่องสำอางต้องซื้อได้อยู่แล้ว
ถ้าหากเรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา งั้นปัญหามันอยู่ตรงไหน
หรือว่า….
ความต้องการของตลาด
โจว๋ชิงหยี เสี่ยวหง นายหญิงเซียวทั้งวามต่างขมวดคิ้วคุยกัน
ทำไมคนดูเยอะแต่คนซื้อน้อย
หรือซินเหยาไปสร้างศัตรูเอาไว้
ซินเหยาไม่ชอบคบหากับใครแต่นางก็ไม่เคยไปหาเรื่องใครก่อน
หรือเป็นเพราะครั้งนั้นที่ซินเหยาเข้าวังมาแล้วทำให้หญิงเฟยกับเม๋ยเฟยตายไป
ทำให้สนมและนางในต่างพากันกลัวซินเหยา
ส่วนเรื่องสวนดอกไม้เมื่อหลายวันก่อน ทำให้ทุกคนต่างกลัวและพากันสร้างกำแพงกันระหว่างซินเหยา
ดังนั้นผู้หญิงวังหลังจึงไม่มีใครเชื่อซินเหยา
โจว๋ชิงหยีเป็นคนอ่อนโยน อาสัยอยู่ในวังมาเป็นเวลาครึ่งปีกว่า ยอมให้คนรังแกมาตลอด
นายหญิงเซียวเป็นเมียน้อยมาหลายสิบปีแน่นอนว่ามีความคิดที่คับแคบ
เสี่ยวหงคือบ่าว….
ทั้งสามคนแทบที่จะไม่มีทางที่จะคิดเห็นเหมือนกันเลย
สุดท้ายสรุปคือซินเหยาไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสนมในวัง ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีคนมาช่วยซื้อของ
ซินเหยาพูด “ผู้หญิงสามคนนี้โง่จริง แต่ก็โง่ได้น่ารักดีนะ ในวังหลวงมีที่ไหนกันความสัมพันธ์ ถึงจะมีก็แค่เพื่อผลประโยชน์ นี่ไม่ใช่การขายเพื่อหลอกเพื่อน”
ปัญหาที่แท้จริงคือ
ต้องการ
ความต้องการของตลาด
ก็คือไม่มีอะไรมาดึงดูดให้สนมนางในเหล่านี้มามาซื้อของ
และสิ่งที่สามารถดึงดูดได้คือโฆษณา
โฆษณา?
ซินเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง
อยู่ที่นี่ไม่มีกระดาษ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ และก็ไม่มีโทรศัพท์
จะโฆษณายังไงได้ผลดีที่สุด
และที่นี่คือวังหลวง
วังหลวงไม่ใช่ตลาด
ไม่สามารถแจกใบปลิวได้
และหากทำใบปลิวเยอะขนาดนั้นก็เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์
วังหลวงบอกใหญ่ก็ไม่ใหญ่จะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็ก
หากเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องใช้เวลาทั้งวันหรอก เรื่องก็ลือทั่ววังหลวงแล้ว
ซินเหยาแน่ใจว่าตอนนี้ทุกคนในวังรู้เรื่องคลินิกเสริมความงามกันหมดแล้ว
แต่ ปัญหาคือจะทำยังไงให้พวกเราสนใจและดึงดูดพวกนางมาซื้อของ
ทำอย่างไรดี
ซินเหยาคิดหาวิธีแก้ไขอยู่
“พ่อบ้านหลี่มาขอรับ”
ขันทีคนถึงวิ่งเข้ามารายงาน
ซินเหยาเงยหน้า หลี่เหลียงคางเดินก้าวเข้ามา
“หม่อมฉันถวายบังคบโจว๋กุ้ยเฟย”
หลี่เหลียงคางคำนับ
ซินเหยาพูด “หลี่กงกงไม่ต้องมากพิธีหรอก ท่านคือคนที่ฮ่องเต้ไว้ใจต่อให้ข้าเป็นฮองเฮาก็ต้องระวังตัวเช่นกัน เจ้าอยู่ที่นี่ก็ทำตัวตามสบาย”
หลี่เหลียงคาง “ขอบพระทัยพระสนม”
ซินเหยาพูด “ฮอ่งเต้ให้เจ้ามามีเรื่องอะไร”
หลี่เหลียงคาง “หลายวันมานี้ฮ่องเต้ยุ่งจนนอนไม่หลับกินไม่ได้”
“นอนไม่หลับกินไม่ได้”