นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 435
บทที่ 435 เด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง2
ความสงบเยือกเย็น ความเฉื่อยเนือยและความห่างเหินที่นางแสดงออกมา ถึงขั้นทำให้ฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมมีความรู้สึกอยากถอนหายใจเพราะสู้ไม่ได้อยู่บ้าง
บางครั้ง
ฮ่องเต้อำมหิตถึงกับปรารถนาอยากให้ซินเหยาเป็นเหมือนผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งบ้าง
ที่พอเศร้าโศกเสียใจก็ร้องไห้โวยวาย
แบบนี้ อย่างน้อยเขาก็ยังมีหนทางที่จะไปปลอบขวัญนางได้อยู่
แต่ทว่านางมีท่าทางสงบเยือกเย็นและห่างเหินเช่นนี้ กลับทำให้ฮ่องเต้อำมหิตไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นลงมือจากตรงไหน
“นางมาทำไมรึ?”
ฮ่องเต้อำมหิตตรัสถาม
หลี่เหลียนคางจึงตอบว่า “กระหม่อมไม่ทราบพะยะค่ะ พระนางไปหาฝ่าบาทที่ห้องบรรทมแล้ว แล้วพบกับกระหม่อมโดยบังเอิญ กระหม่อมจึงกราบทูลว่าฝ่าบาทกำลังออกว่าราชการอยู่ในท้องพระโรง พระนางก็เลยให้กระหม่อมเข้ามาแจ้งให้ฝ่าบาททรงทราบพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้อำมหิตขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “แจ้งรึ? นางให้เจ้ามาแจ้งด้วยตัวเองอย่างนั้นรึ? นางเปลี่ยนเป็นคนที่มีความสุภาพเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลี่เหลียนคางจึงกล่าวว่า “ฝ่าบาท ต้องการพบพระสนมโจว๋หรือไม่พะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้อำมหิตคิดแล้วคิดอีก แล้วจึงพูดว่า “ไม่พบ เจ้าไปบอกนางนะว่า ให้นางกลับไปเถอะ ข้าไม่อยากพบนาง”
พอหลี่เหลียนคางได้ยินแล้ว ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท พระนางมาเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยตัวเอง เกรงว่าจะมีเรื่องอะไรที่สำคัญมาก ถ้าไม่พบ เกรงว่าจะไม่สู้ดีนักนะพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าวด้วยความรำคาญเล็กน้อยว่า “ไม่พบก็คือไม่พบ เจ้าไปบอกให้นางกลับไปเลยนะ”
ในใจของเขาทำไมถึงไม่อยากพบนางล่ะ?
พอคิดถึงซินเหยา
ก็ทำให้เขาพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับทุกคืน
แต่ทว่า…
ยังเหลืออีกสองวัน
เหลือเพียงแค่สองวันเท่านั้น
หลังจากผ่านสองวันนี้ไป เขาก็จะได้ไม่ต้องพะว้าพะวังเกี่ยวกับก่วยกุเซียนกับหยินซวางแล้ว
ถึงเวลานั้น…
ฮ่องเต้อย่างเขาคนนี้ก็จะได้ทำตามที่ใจต้องการเสียที
หลังจากที่เสร็จสิ้นเรื่องของก่วยกุเซียน เขาก็ไม่ต้องไร้เมตตาต่อซินเหยาอีกต่อไปแล้ว
“น้องหญิง”
“อดทนอีกสองวันนะ”
“หลังจากสองวัน”
“ข้าจะไปพบเจ้าด้วยตัวเอง”
ฮ่องเต้อำมหิตพูดในใจอย่างเงียบๆ
หลี่เหลียนคางลังเลอยู่นาน เลยพูดอย่างอ้ำๆอึ้งๆออกมาว่า “ฝ่าบาท นี่เกรงว่าจะไม่ค่อยดีนัก ไม่แน่ว่าพระนางอาจมีเรื่องที่สำคัญมากหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้พระนางได้ตั้งครรภ์แล้วนะพะยะค่ะ”
หลี่เหลียนคางจงใจกล่าวเน้นคำว่า “ตั้งครรภ์” สองคำนี้ให้หนักๆ
“ตั้งครรภ์งั้นรึ?”
พอฮ่องเต้อำมหิตได้ยินสองคำนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะขมวดคิ้วขึ้นมาแล้ว
หลี่เหลียนคางจึงถามหยั่งเชิงดูว่า “ฝ่าบาท? จะพบหรือไม่พบพะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้อำมหิตคิดแล้วคิดอีก จึงพูดว่า “เจ้าบอกให้นางไปรออยู่ที่ห้องเขียนหนังสือหลวงนะ เดี๋ยวข้าจะตามไปในภายหลัง”
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ เกล้ากระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
หลี่เหลียนคางรับคำสั่งแล้วเดินไป
ความคิดจิตใจของฮ่องเต้อำมหิต กลับไม่สามารถสงบเยือกเย็นลงได้อีกแล้ว
ทำไมซินเหยาถึงได้มาหาเขาล่ะ?
เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่ซินเหยาไม่เคยมีความคิดที่จะมาหาเขาเลย
แน่นอนว่าในใจของเขานั้นก็สนใจใคร่รู้เป็นอย่างมากว่าทำไมซินเหยาถึงมาหาเขากะทันหันเช่นนี้
หลังจากที่ว่าราชการจนถึงระยะสุดท้าย ฮ่องเต้อำมหิตก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ถางเปิ่นหู่พูดเกี่ยวกับแผนการการจัดการคลองน้ำออกไปมากมายเป็นหมื่นพันล้านคำ แต่เขาแทบจะไม่ได้ฟังเลยสักคำ
หลังจากว่าราชการที่ท้องพระโรงเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็วิ่งตะบึงตรงไปที่ห้องเขียนหนังสือหลวงอย่างรวดเร็ว
ที่ห้องเขียนหนังสือหลวง
ซินเหยานั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสืออย่างหงอยเหงาเล็กน้อยระหว่างรอให้ฮ่องเต้อำมหิตมาถึง
ห้องเขียนหนังสือหลวงรึ?
ซินเหยากลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้เล็กน้อย
ไอ้คนบ้ากามคนนี้
เขาไม่ได้ชอบเรียกให้ผู้หญิงไปรอเขาที่ห้องบรรทมหรอกหรือ?
ทำไมในครั้งนี้ถึงได้ให้มาอยู่ในสถานที่ที่จริงจังอย่างนี้ได้ล่ะนี่?
หรือว่าจะเปลี่ยนนิสัยแล้ว?
ภายในใจของซินเหยามีความดีใจอยู่เล็กน้อยอย่างเงียบๆ
นางรอนานมากแล้ว แต่ฮ่องเต้อำมหิตก็ยังไม่มา
เมื่อรอจนจิตใจเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้างแล้ว
ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเองเข้ามาในห้องเขียนหนังสือหลวง
อย่างไรซะก็เบื่อๆอยู่แล้ว ลองเดินเยี่ยมชมสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
อย่างน้อย….
ก็ดูสักหน่อยว่าปกติฮ่องเต้บ้ากามคนนี้อ่านหนังสืออะไรบ้าง?
ไม่ทราบว่าเป็นหนังสือต้องห้ามอย่างบุปผาในกุณฑีทองหรือเปล่า?
ซินเหยาถือโอกาสนี้พลิกอ่านหนังสือสองสามเล่มที่อยู่บนโต๊ะ กลับพบว่าเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการควบคุมจัดการการขนส่งทางเรือในคลองน้ำ…
ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ว่า ดูเหมือนจะเคยได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้เมื่อเร็วๆนี้ว่า ช่วงนี้คลองน้ำมีน้ำท่วมเอ่อ มีประชาชนที่ประสบภัยและพลัดจากที่อยู่ไปร่อนเร่พเนจรเป็นจำนวนมาก…
ไอ้คนบ้ากามคนนี้
ก็ถือว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีคนหนึ่งเลยนะเนี่ย
อย่างน้อย…
เขาก็รักและดูแลเอาใจใส่ประชาชนของเขามาก
ซินเหยาจึงได้เข้าใจว่า ถึงฮ่องเต้อำมหิตจะไม่ใช่คนดี แต่กลับเป็นฮ่องเต้ที่ดีคนหนึ่ง
ด้านหลังโต๊ะทำงาน ก็คือชั้นวางหนังสือไม้จันทน์หนึ่งหลัง ด้านบนจัดวางหนังสือที่ฮ่องเต้อำมหิตชอบอ่านทั้งหมด…
ตู้หนังสือสูงทำจากไม้จันทน์ แกะสลักลายมังกรที่มีท่วงทำนองโบราณและเรียบง่าย เก่าแก่และดูน่าเกรงขาม ดูเหมือนว่าจะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อยู่ไม่น้อย ในฐานะที่เป็นชั้นหนังสือที่อยู่ในห้องเขียนหนังสือหลวงของฮ่องเต้ มันจึงดูเหมือนว่ามีความเก่าแก่อยู่มาก
ซินเหยาถือโอกาสเปิดอ่านหนังสือ นางอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและเงินตราที่มีความล้ำลึกไปแล้วสองสามเล่ม แล้วก็อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับบทลงโทษและกฎเกณฑ์ของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อีกสองเล่ม…
การเป็นฮ่องเต้ ที่แท้มันก็ยากลำบากขนาดนี้นี่เอง
หนังสือที่จำเป็นต้องอ่านยังถือว่าเยอะยิ่งกว่าเป็นสายลับเสียอีกนะเนี่ย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกเล่มล้วนเป็นหนังสือที่ค่อนข้างจืดชืดไร้รสชาติและลึกล้ำจนยากที่จะเข้าใจอยู่ไม่น้อย
ไม่เข้าใจเลยว่าเป็นฮ่องเต้มีอะไรดีนักหนา
ทำไมคนจำนวนมากถึงต้องต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่ออำนาจและเงินทองขนาดนี้ด้วย
ซินเหยาพูดในใจด้วยความเสียดายว่า “ดูจากฮ่องเต้อำมหิตก็รู้แล้วว่า เขาไม่มีญาติพี่น้องเลย แล้วก็ไม่มีเพื่อนที่เชื่อใจได้สักคน เต็มไปด้วยความระแวงสงสัยต่อทุกคน ทุกวันเอาแต่คิดหาวิธีรับมือกับศัตรูที่อาจจะใช้อำนาจคุกคามตำแหน่งของเขา หนำซ้ำยังต้องใช้เวลาส่วนมากไปกับการเอาหนังสือแปลกๆแต่ละประเภทมาอ่านเช่นนี้ทุกวันอีก…”
“ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ ไม่เป็นก็ดีแล้ว”
ซินเหยายิ้มแห้งๆ
นางหัวเราะฮ่องเต้อำมหิตที่มองไม่เห็นว่า
โลกมนุษย์มันช่างทุกข์ยากเหลือเกิน
แล้วทำไมต้องอาลัยอาวรณ์ด้วยล่ะ?
การเป็นฮ่องเต้ในโลกมนุษย์คนหนึ่งมันก็ยิ่งยากลำบากอย่างนี้แหล่ะ
ซินเหยาถือโอกาสเปิดหนังสืออ่านอีกสักสองสามเล่ม หลังจากที่หยิบหนังสือโบราณเล่มหนาๆหนึ่งเล่มลงมา ทันใดนั้น ก็ค้นพบช่องลับที่ซ่อนอยู่บนชั้นวางหนังสือเข้าอย่างคาดไม่ถึง
ช่องลับรึ?
แท้จริงแล้วในห้องเขียนหนังสือของฮ่องเต้มีช่องลับเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?
แล้วจะซ่อนเอาไว้ข้างในทำไม?
มันจะต้องเป็นสิ่งที่สำคัญมากแน่ๆ
ซินเหยาคิดไม่ตกจริงๆว่า ในห้องเขียนหนังสือหลวงจำเป็นต้องมีการสร้างช่องลับด้วยหรือ?