นักฆ่าฮองเฮาของข้า / สุดยอดนักฆ่า มเหสียอดรัก - ตอนที่ 568
ตอนที่ 568ก็แค่ต้องการคนๆ หนึ่งจากเจ้าเท่านั้นเอง
คนพวกนั้นแน่นิ่ง และหมายจะโขกศีรษะเอ่ยต่อไป
“ข้าน้อยคารวะฮ่องเต้” ชายชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามา มองเห็นไม่กี่คนพวกนั้นกำลังคุกเข่าอยู่ด้านข้าง
เขาเดินเข้ามากระซิบข้างหูของซ่างกวนเหมิงห้าวสองสามประโยค จากนั้นจึงทูลลาอย่างรวดเร็ว
“ฮ่องเต้ ไทเฮาทรงออกฎีกา…”
“โครม” คนที่บังอาจเมื่อครู่นั้นถูกซ่างกวนเหมิงห้าวหิ้วขึ้นก่อนจะโยนออกไป
“ยังต้องให้ข้าย้ำอีกรอบ หรือไม่ก็ลากออกไปประหารงั้นรึ พวกเจ้าถึงจะรู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็คือโอรสสวรรค์ในปัจจุบัน ไม่ใช่ไทเฮาที่พวกเจ้าร้องปาวๆ กันอยู่ กลับเอาคำข้าไปบอกไทเฮา นางต้องการจะแหวกม่านแทรกการเมืองหรืออย่างไร ข้าตัดสินใจเองไม่ได้เชียวหรือ แล้วก็เตือนนางหนึ่งประโยค อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้เรื่องที่นางทำ” สีหน้าของซ่างกวนเหมิงห้าวเป็นสีดำทะมึน ยามเอ่ยวาจาไม่หลงเหลืออารมณ์ใดๆ ต่อให้คนที่พูดถึงนั้นจะเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของเขาก็ไม่เว้น
ผู้คนเหล่านั้นหวาดกลัวจากการที่ซ่างกวนเหมิงห้าวเพิ่งเหวี่ยงคนๆ นั้นออกไป บวกกับซ่างกวนเหมิงห้าวไม่ได้ไว้หน้าไทเฮาเลยแม้แต่น้อย กล่าววาจาดุกร้าวเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างพากันแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
ซ่างกวนเหมิงห้าวมองเห็นคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า “ยังไม่ไสหัวออกไปอีก หรือต้องการให้ข้าไปส่งขบวนพวกเจ้าด้วยตนเอง”
ผู้คนทั้งหลายพอได้ยินน้ำคำของซ่างกวนเหมิงห้าว ไหนเลยจะกล้าแช่ตัวอยู่ต่อ ต่างพากันตะกายขึ้นมาวิ่งออกไปตามๆ กัน
ซ่างกวนเหมิงห้าวค่อยๆ สงบลงมา ก่อนเอ่ยบัญชา “ไปเตรียมการ ข้าจะไปเยี่ยมเยียนคนที่ชื่อโจว๋หยุนถิงผู้นั้น”
ในขณะที่โจว๋หยุนถิงยังคงฝึกคัดตัวอักษรอย่างมีสมาธิ ลูกน้องก็เข้ามารายงานว่าคนที่นามว่าซ่างกวนมาขอพบ เรื่องนี้มันกะทันหันเกินไปแล้ว
ซ่างกวนสกุลนี้ ภายในประเทศนี้ มีเพียงคนของราชวงศ์เท่านั้นถึงจะใช้นามสกุลนี้ นี่ถือว่าทุกคนต่างรู้กันดี แต่คนทั้งหมดนี้ก็ละเว้นซินเหยาด้วย เนื่องจากซินเหยาสูญเสียความทรงจำไป
แม้ว่าโจว๋หยุนถิงจะเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งคนแรก แต่ดูแล้วก็กระทำการอย่างระแวดระวังซ้ำยังมีความประพฤติไม่กระโตกกระตาก ครั้งนี้คนของสกุลซ่างกวนมาเยือนด้วยตนเอง ซ้ำยังไม่ได้มาเยือนในเมืองหลวงแต่เป็นชายแดน เขาย่อมไม่กล้าละเลยอยู่แล้ว
ตอนที่ได้เห็นซ่างกวนเหมิงห้าว สายตาโจว๋หยุนถิงพลันตกใจ ใบหน้าที่แท้จริงของฮ่องเต้นั้น ไพร่ฟ้าประชาชนทั่วไปไม่รู้ ข้อนี้ยังพอทำเนา
แต่เขาก็เป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งคนแรกแม้ว่าจะไม่เคยเห็น แต่เครือข่ายข่าวกรองของตนที่คอยให้ข่าวมาเพียงพอ นอกจากนี้ปีนั้นที่ซินเหยาสมรสเขาเคยเห็นมาก่อน
“โจว๋หยุนถิงคนรากหญ้าคารวะฮ่องเต้” โจว๋หยุนถิงรีบคุกเข่าลงต่อหน้าซ่างกวนเหมิงห้าวทันที
สำหรับการที่โจว๋หยุนถิงล่วงรู้ถึงสถานะของตน ซ่างกวนเหมิงห้าวไม่แปลกใจเลยสักนิด กลับกัน ถ้าหากโจว๋หยุนถิงไม่รู้ เช่นนั้นเขาถึงจะแปลกใจ ขอให้รู้ว่านักธุรกิจผู้มั่งคั่งคนแรกนี้ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ขนาดนั้น
“ลุกขึ้นเถิด” ซ่างกวนเหมิงห้าวประคองมือ ดูแล้วช่างอ่อนโยนนัก
แต่โจว๋หยุนถิงรู้แจ้งดีถึงอุปนิสัยของซ่างกวนเหมิงห้าว
“ไม่ทราบว่าพระองค์มายังจวนของชนรากหญ้า มีรับสั่งอันใด” นี่เป็นครั้งแรกที่โจว๋หยุนถิงได้ทักทายปราศรัยกับคนของทางการ ย่อมค่อนข้างเคอะเขินไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะดี อีกอย่างฮ่องเต้พระองค์นี้เสด็จมาอย่างกะทันหันเกินไปแล้ว
ซ่างกวนเหมิงห้าวเหลือบสายตามองโจว๋หยุนถิงแวบหนึ่ง ดูค่อนข้างหรี่ยาว แต่กลับเคร่งขรึม
ด้วยฉะนี้ บรรยากาศค่อยๆ จมสู่ความตึงเครียดอันแปลกประหลาด
โจว๋หยุนถิงเองก็ไม่รีบร้อน ยืนแน่นิ่งอยู่ข้างๆ รอดำรัสของซ่างกวนเหมิงห้าว
บางทีซ่างกวนเหมิงห้าวอาจจะรู้กลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพียงพอ คิดว่าบางทีวางชั้นเชิงเอาไว้พอแล้ว จึงปริปากพูดแผ่วเบา “ข้ามาที่นี่ ก็แค่ต้องการคนๆ หนึ่งจากเจ้าเท่านั้นเอง”
ครั้นโจว๋หยุนถิงได้ฟังซ่างกวนเหมิงห้าวกล่าวเช่นนี้ ก็ตกใจยิ่ง ต้องการคน? เขาไม่รู้เลยว่าตนมีใครกันจนทำให้ฮ่องเต้พระองค์นี้เสด็จมาตั้งไกลขนาดนี้
“กระหม่อมไม่ค่อยเข้าใจนัก โปรดฮ่องเต้ชี้แจงให้ชัดเจน กระหม่อมมีบุคคลใดที่สามารถต้องเนตรของฮ่องเต้ได้กัน” โจว๋หยุนถิงพยายามแสร้งทำเป็นแน่วแน่ เอ่ยกับฮ่องเต้พลางยิ้มแย้ม
สีหน้าของซ่างกวนเหมิงห้าวเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ยังไม่รีบร้อน “ใครคนหนึ่งที่ชื่อซินเหยา”
ซ่างกวนเหมิงห้าวเอ่ยถ้อยคำนี้ ไม่วายสังเกตการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของโจว๋หยุนถิง ดูสิว่าจะสามารถเจอเบาะแสอะไรบ้างหรือเปล่า
ครั้นได้ฟังว่าซ่างกวนเหมิงห้าวต้องการตัวคน กลับกันสีหน้าของโจว๋หยุนถิงพลันผ่อนคลายลง ตอนนี้เองที่เขารู้สึกค่อนข้างยินดีต่อการจากไปของซินเหยา
“ทูลฝ่าบาท ทางฝั่งกระหม่อมนี้ไม่มีคนที่ชื่อซินเหยา ข้อนี้ฮ่องเต้โปรดวางพระทัย พระองค์สามารถส่งคนไปตรวจสอบได้” โจว๋หยุนถิงเอ่ยวาจาอย่างราบเรียบ ไม่ได้มีท่าทีพูดท็จเลยสักนิดเดียว
ซ่างกวนเหมิงห้าวค่อนข้างแปลกใจ ที่เขารู้มาคือซินเหยาไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับคนๆ นี้ และก็คงไม่ได้จงใจวิ่งแจ้นมาทางนี้ อีกอย่างสิ่งที่บอกมาเมื่อคราวก่อนนั้นซินเหยาปรากฏกายอยู่หน้าประตูคฤหาสน์แห่งนี้ หรือจะพูดอีกอย่างคือ ไม่ใช่ซินเหยาที่หาที่นี่พบ หรือโจว๋หยุนถิงคนนี้ไม่ได้โกหกจริงๆ
“เช่นนั้นระยะนี้ ทางฝั่งของเจ้ามีคนผิดปกติอะไรปรากฏกายบ้างหรือไม่” เขาเชื่อว่าลูกน้องของตนไม่ได้รายงานผิดเป็นแน่
โจว๋หยุนถิงกลอกตาวนหนึ่งรอบ ก้มหน้างุดพลางเอ่ยคำ “ทูลฝ่าบาท มีผู้หญิงนางหนึ่ง เพียงแต่หลังจากนั้นก็หนีออกไปแล้ว” พูดแบบนี้ เขาทั้งไม่ได้ยอมรับว่าเป็นซินเหยา และยังไม่ได้ปฏิเสธอีกด้วย ต่อให้ตรวจสอบออกมาภายหลัง ก็มีคำอ้างพ้นข้อกล่าวหาได้
ซ่างกวนเหมิงห้าวตกตะลึง หนีไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะไปไหนบ้าง เงื่อนงำที่เพิ่งปรากฏออกมา ก็ขาดสะบั้นลงอีกครั้งทั้งอย่างนี้? เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาพิสูจน์ได้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรอกหรือ
ซ่างกวนเหมิงห้าวหาคำตอบที่เขาต้องการไม่พบ สถานการณ์ทางฝั่งของตนนั้นก็เร่งด่วนมาก ย่อมไม่อยากอืดอาดอยู่ต่อไปอีกแล้ว
“ในเมื่อไม่มี เช่นนั้นข้าก็จะไม่อยู่ต่อแล้ว ถ้าหากมีข่าวคราวของนาง เจ้าแค่แจ้งรายงานไปทันทีก็พอ” กล่าวจบ ก็ออกไปจากเรือนของโจว๋หยุนถิงทันที
โจว๋หยุนถิงมองไปยังเงาหลังของฮ่องเต้ พลางขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่รู้ว่าการหายตัวไปของซินเหยามีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้หรือไม่ แต่ในตอนแรกเพราะฮ่องเต้ไม่ได้ปกป้องซินเหยาให้ดี เช่นนั้นเขาก็คงไม่อาจปล่อยให้ซินเหยากลับไปอีกครั้งอย่างงายดายขนาดนั้นแน่นอน
“หาน เจ้าไปเรียกน้าเมิ่งเข้ามา ข้ามีเรื่องจะกำชับนางให้ไปทำหน่อย” หลังจากโจว๋หยุนถิงหันหน้าไปออกคำสั่งกับหาน ก็เดินมุ่งหน้าตรงไปยังห้องหนังสือทันที
ซ่างกวนเหมิงห้าวกลับมาจากทางฝั่งโจว๋หยุนถิง สภาพอารมณ์ย่ำแย่นัก อันที่จริงตอนนี้เวลาของเขามีจำกัดนัก นึกถึงถ้อยคำวันนั้นของตน มันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แต่นึกๆ ดูเขาก็โกรธอยู่ไม่น้อยเลย
วันนั้นสิ่งที่ลูกน้องของตนมารายงานคือ ผู้ที่ส่งไปฆ่าหญิงสาวนางนั้นเป็นคนของไทเฮา ซ้ำยังอาศัยชื่อของตนไปสังหารอีกด้วย
“หลายวันมานี้พวกเจ้าตรวจสอบจวนเว่ยโก๋กงว่ามีการเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือยัง” ซ่างกวนเหมิงห้าวมาถึงที่นี่มีจุดประสงค์อยู่สองข้อ ข้อแรกคือเว่ยโก๋กง อีกข้อคือซินเหยา
เรื่องของซินเหยา นับว่าการตรวจสอบมีความคืบหน้า ส่วนเรื่องราวต่อไปเขาจะไล่ตามตรวจสอบต่อเอง สำหรับเว่ยโก๋กง มักจะตรวจพบว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยในการสรรหาทหารค้าขายม้า เพียงแต่ยังคงไม่แน่ใจ เดิมทีเขาคิดอยากฉวยโอกาสนี้คว้าการจัดการของเว่ยโก๋กง ตอนนี้เขาไม่มีทรัพย์สินเงินทองขยับขยายบุคลากรและอาวุธของเขาได้อีกต่อไปแล้ว เป็นยามที่ประจวบเหมาะให้โจมตียิ่ง อันที่จริงไม่ได้อยากจากไปเร็วขนาดนี้ แต่ว่าทางด้านไทเฮานั้น…
ซ่างกวนเหมิงห้าวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็กลับไปตระเตรียมเรื่องในราชสำนักกับเสด็จแม่ให้ชัดเจนเสียก่อน จากนั้นจึงออกมาจัดกการเรื่องราวเหล่านี้ ตอนนี้ให้ผู้หญิงคนนั้นจัดการกับเว่ยโก๋กงไปก่อน วันนั้นนางพูดว่าจุดประสงค์ไม่ได้มีแค่อย่างเดียว บางทีอาจจะเหมือนกับตนก็ได้
คิดถึงตรงนี้ ซ่างกวนเหมิงห้าวจึงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้เรียกลูกน้องนำไปมอบให้ซินเหยา จากนั้นจึงตะบึงออกไปทันที
ตอนที่ได้รับจดหมายจากซ่างกวนเหมิงห้าว ซินเหยาประหลาดใจยิ่ง นางยังคิดว่าสิ่งที่ซ่างกวนเหมิงห้าวพูดคราวก่อนนั้นเป็นถ้อยคำสุภาพเกรงใจ ตนตอบออกไปแบบนั้น เขาอาจถอดใจไปแล้วเสียอีก
ไม่ได้คาดหวังว่าเขาอยากจะร่วมมือกับตนขนาดนั้น สิ่งสำคัญก็คือจุดประสงค์ของเขานั้นสอดคล้องกับตนทีเดียว
ตอนนี้นางคิดว่ามีพันธมิตรคอยต่อกรกับเว่ยโก๋กง ในใจจะมีความสุขก็ยังไม่สาย
“น้าเฝิง ท่านไปตอบรับเว่ยโก๋กง บอกว่าข้ายินดีร่วมมือกับเขา รายละเอียดความร่วมมือจำเป็นต้องเจรจากับเขาอย่างถี่ถ้วน”
ซินเหยาปรายตาสำรวจสถานการณ์ของจวนเว่ยอย่างละเอียดที่ทางฝั่งเว่ยโก๋กงส่งเข้ามาเมื่อคราวก่อน ก็นับว่าต้องชื่นชมเว่ยโก๋กงนัก ยังไม่ทันได้ทำให้เขาล้มละลายเลย แต่ซินเหยาย่อมไม่คิดว่าเพียงแค่ข้อนี้จะได้รับการชมเชย เพราะเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่นางจัดแจงออกมา
“ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” น้าเฝิงมองตามสายตาซินเหยาโปรยตกไปบนกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนแย้มยิ้ม และรีบออกไปลงมือจัดการทันที
“เว่ยโก๋กงหนอ เว่ยโก๋กง คอยดูว่าคราวนี้ท่านจะหนีรอดจากเงื้อมมือของข้าได้อย่างไร” ซินเหยายิ้ม ในที่สุดก็มีโอกาสล้างแค้นให้บิงเสียที
ภายในเมืองหลวงเวลานี้ คนที่ส่งออกไปตามฮ่องเต้เมื่อคราวก่อน กำลังคุกกายอยู่แทบเท้าของไทเฮาด้วยอาการสั่นเทา ไม่ว่าจะอยู่นอกหรือในพวกเขาก็ไม่ใช่คนจริงๆ สินะ ถูกทางฝั่งฮ่องเต้เกรี้ยวกราดใส่แล้ว กลับมายังมิวายแบกรับอารมณ์เดือดดาลของไทเฮาอีก
“ไสออกไป ไสหัวออกไปจากข้าเดี๋ยวนี้” ความโกรธของไทเฮาใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว นางปวดใจนัก ลูกชายของตน ลูกชายที่เลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนโต ถึงขนาดพูดกับตนด้วยวาจาโหดร้ายแบบนั้น
“ข้าแก่แล้ว แก่แล้วสินะ” นางทุบหน้าอก แต่ว่าพอหวนคิด อะไรที่เรียกว่าเรื่องที่นางทำฮ่องเต้ทรงทราบหมด เรื่องอะไรกัน เมื่อไทเฮาคิดถึงตรงนี้ก็หลุบตาลงครุ่นคิด
เรื่องในปีนั้น? หรือหมายถึงเรื่องของซินเหยา เขาพบกับซินเหยาแล้วอย่างนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
“เรียกหลี่สวุ้นมาให้ข้า” ไทเฮาปั้นหน้าขรึม แต่หลังจากนั้นก็มองไปที่คนเบื้องล่างที่ยังคุกกายอยู่กับพื้น ออกบัญชากับสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย
สาวใช้คนนั้นรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานก็มีทหารองครักษ์หลายนายเข้ามา ไม่กี่คนนั้นยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกทหารองครักษ์มัดตัวเตรียมจะพาออกไป
“ไทเฮาโปรดไว้ชีวิตด้วย ไทเฮาโปรดไว้ชีวิต..” ไม่กี่คนนั้นยังไม่ถอดใจ คิดอยากวิ่งไปร้องขอชีวิตแทบเท้าไทเฮา แต่ไทเฮาทำหูทวนลม แม้แต่เปลือกตายังไม่ชายลงแล
นอกตำหนักบิงฉือ ได้ยินเพียงเสียง “โอ๊ย” หลายครา ครู่ต่อมาจึงหวนสู่ความสงบ ราวกับทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ราชวังแห่งนี้ มีกลิ่นคาวเลือดมากเกินไป ความลับที่ไม่ให้คนนอกล่วงรู้มากเกินไป หลับตาลงแน่น อุดหูให้มิดจึงจะสามารถมีชีวิตรอดได้ยืนยาวขึ้น
นี่คือการเอาชีวิตรอดในวังหลวง
“ข้าน้อยหลี่สวุ้นคารวะไทเฮา” คนที่ปรากฏกายในพระตำหนักเมื่อคราวก่อนคุกเขาลงเบื้องล่างของไทเฮาอีกครั้ง
ไทเฮามุ่นคิ้วมองทางหลี่สวุ้น “ข้าอยากรู้ว่าตอนที่เจ้าไปจับซินเหยา ได้พบกันคนอื่นๆ บ้างหรือเปล่า หรือไม่ก็ถูกคนสะกดรอยตาม โดยเฉพาะผู้ชาย?”
สีหน้าหลี่สวุ้นเปลี่ยนไป แน่นอนว่านึกถึงเรื่องราวเมื่อคราวก่อนแล้ว ผู้ชายคนนั้น ไทเฮาทรงทราบเข้าแล้ว ข้อนี้คือสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจ
“ทูลไทเฮา ครั้งก่อนข้าน้อยพบกับชายคนหนึ่งที่อยู่กับนาง” ตอนที่หลี่สวุ้นเอ่ยวาจานั้นเขาสังเกตท่าทีของไทเฮาเป็นพิเศษ
สีหน้าของไทเฮาเปลี่ยนไป มองทางหลี่สวุ้นด้วยความเวทนา และมีความโกรธขึ้งด้วย “แล้วเจ้ารู้หรือเปล่าว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าบอกเจ้าให้นะ คนผู้นั้นก็คือฮ่องเต้ เจ้าว่าพวกเจ้าทำอะไรกันอยู่”
หลี่สวุ้นรีบคุกเข่าลงทันที “ไทเฮา ข้าน้อยกล้ายืนยันว่าฮ่องเต้ไม่ทรงทราบว่านั่นคือซินเหยา เพราะตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นปลอมตัวอยู่ อีกอย่างตอนนั้นฮ่องเต้ก็เป็นเพียงแค่ผู้ชมอยู่ข้างๆ เท่านั้น ภายหลังจึงเข้ามาสู้…”
ไทเฮาฟังหลี่สวุ้นเอ่ยเช่นนี้ ในใจก็ค่อยๆ ปรนลงบ้าง แต่ว่ามองทางหลี่สวุ้นยังคงมีแววโกรธเคืองอยู่ “เร่งมือเข้า”
ในเมื่อไม่ได้รู้จักกัน เช่นนั้นก็ต้องดีอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าเป็นการดีกว่าที่จะให้ฮ่องเต้กลับมาโดยเร็วที่สุดเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้
หลี่สวุ้นเห็นว่าสีหน้าของไทเฮาคลายลงมาแล้ว คราวนี้จึงนึกถึงแผนการของตน ก่อนจะเอ่ยข้างๆ ไทเฮาเสียงกระซิบ
ครั้นไทเฮาได้ฟังอุบายของหลี่สวุ้น ครู่ต่อมาสีหน้าพลันเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นแดงก่ำ “ไม่เลว ไม่เลว ไปจัดการแบบนี้ เรื่องนี้ถ้าหากเจ้าจัดการได้ดี ข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม”
“ข้าน้อยขอบพระทัยไทเฮายิ่ง” พอได้ยินไทเฮาตรัสว่ามีรางวัลให้ หลี่สวุ้นก็ยิ้มจนหุบไม่อยู่ รีบโขกศีรษะขอบพระคุณอย่างรวดเร็ว
ไทเฮามองหลี่สวุ้นจากไป นึกถึงถ้อยคำของฮ่องเต้ หัวใจดวงนั้นยังคงเย็นชา ใครต่างก็ว่ากันว่าฮ่องเต้โหดเหี้ยมไร้เมตตา แต่นางรู้ว่าในตำแหน่งสูงศักดิ์นี้ไม่เย็นชาโหดเหี้ยม ก็คงไร้หนทางจัดการแคว้นเหมิงแห่งนี้ได้ คิดดูแล้วตอนนี้ทุกๆ ด้านคงจะชุลมุนวุ่นวายไม่น้อย ลูกชายหนอ เมื่อไรเจ้าจะกลับมา
ทางฝั่งไทเฮาดูเป็นกังวล ฮ่องเต้ซ่างกวนเหมิงห้าวเองก็ควบม้ามาอย่างรวดเร็ว เรื่องทางนี้ไม่ง่ายต่อการจัดการเลย เรื่องทางนู้นก็ไร้หนทางไปจัดการด้วยความสงบใจเช่นเดียวกัน
“ไทเฮา ไทเฮา…” ขันทีคนหนึ่งร้องอุทานพลางวิ่งเข้ามา
ครั้นไทเฮาได้ยินคนร้องโหวกเหวก ก็ปั้นสีหน้าทันที “เรื่องอะไรถึงได้ลนลานขนาดนี้ ไม่มีใครสอนเจ้าเรื่องมารยาทพื้นฐานเชียวหรือ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ตำหนักบิงฉือก็สั่นคลอนทั้งตำหนัก