นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 339 ที่อยู่ของอู๋เทียนเหอ
มือของหญิงสาวค่อยๆ ร่วงหล่นจากใบหน้าของเด็กน้อย จากนั้นเธอก็หลับตาและไม่หายใจอีกต่อไป
อาจเป็นเพราะทนไม่ได้มาสักพักใหญ่ๆ เพิ่งประสบแผ่นดินไหว และแม่สุดที่รักก็มาตายเพราะปกป้องตัวเอง
ในเวลานั้นเองที่เด็กน้อยไม่ส่งเสียงอะไร เพียงแค่จ้องไปยังผู้หญิงบนเปลหามอย่างผงะ
น้ำตายังคงไหลอยู่นองหน้า แต่ไม่ได้ร้องไห้โวยวายเหมือนเมื่อกี้ ไม่แม้แต่จะพูด
ซูฉิงก้มศีรษะลง หัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป
ดังคำกล่าวที่ว่า เลือดข้นกว่าน้ำ แม้ว่าเธอจะกลัวที่จะเห็นฉากนี้มากที่สุดแต่เธอก็ได้เห็นชีวิตและความตายแล้ว
เธอไม่รู้ว่าเด็กน้อยจะไปใช้ชีวิตที่ไหน ไม่รู้ว่าจะสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือถูกคนอื่นรับเลี้ยงไป
แต่สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ บางทีเวลาที่มีค่าที่สุดคือตอนที่เธอได้อยู่กับแม่
เมื่อเห็นท่าทางของเด็กน้อง ซูฉิงก็จับมือเธอไว้ “นีนี พี่ร้องเพลงให้ฟังดีไหม?”
ในที่สุดนีนีก็ร้องไห้ออกมา “หนูต้องการแม่! หนูต้องการแม่!”
ซูฉิงโอบตัวของนีนีมากอดแน่น “เด็กดีนะ แม่จะอยู่บนฟ้าตลอด
อยู่กับหนูตลอดนะ”
คนจากทีมกู้ภัยไปกำจัดร่างของผู้หญิงคนนั้น ยวี๋น่ามองคนที่อยู่บนเปลหามที่คลุมด้วยผ้าขาวแล้วหันไปมองที่เด็กน้อย ก่อนจะเช็ดน้ำตาออกจากหางตาของเธอ
ยวี๋น่าหยิบขนมปังและน้ำออกมาก่อนจะเดินไปหานีนี และส่งน้ำให้เธอแล้วพูดว่า “หนูหิวไหม? กินขนมปังหน่อยสิ”
เด็กน้อยกระพริบตา ก่อนจะหยิบขนมปังไปแกะแล้วกัดกิน
ทั้งสองเกลี้ยกล่อมเธอเป็นเวลานาน เด็กถึงได้ค่อยๆ ฟื้นตัว ประโยคแรกที่เธอพูดคือพูดกับพวกเธอคือ “ขอบคุณค่ะพี่สาว ขอบคุณพวกพี่นะคะ”
ในที่สุดยวี๋น่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มองไปยังเด็กน้อยอย่างเจ็บปวดใจและความสงสาร ก่อนจะลูบศรีษะของเธอ “ไม่เป็นไร นี่คือสิ่งที่เราควรจะทำ”
หลังจากที่เธอพูดจบ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ เธอหยิบรูปถ่ายของอู๋เทียนเหอที่เธอหยิบติดตัวจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตออกมาให้เด็กน้อยดู “หนูรู้จักพี่ชายในรูปไหมคนนี้ไหม?”
“รู้จักค่ะ” วินาทีที่นีนีเห็นภาพนั้น ดวงตาของเธอก็สว่างขึ้นทันที เธอพยักหน้ายืนยัน และเสียงเด็กก็ดังขึ้น “เขาคือคุณครูอู๋ที่สอนเราที่โรงเรียน คุณอู๋น่ารักมาก สอนเราให้มีความรู้ด้วยค่ะ แถมยังคอยช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน เขายังเคยให้มันฝรั่งทอดหนูด้วยค่ะ”
ใบหน้าของนีนีไร้เดียงสา แต่ยวี๋น่าไม่สามารถระงับความตื่นเต้นของเธอได้ ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที แต่ก็ยังระงับอารมณ์และควบคุมไม่ให้ร้องไห้
หลังจากวิ่งวุ่น ในที่สุดเธอก็รู้ว่าเทียนเหออยู่ที่ไหน!
ซูฉิงที่รู้ก็ผุดรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าก่อนจะคำนวณ “เมื่อวานเกิดแผ่นดินไหวตอนเก้าโมงเช้า ตอนนั้นคงเป็นเวลาเรียน อู๋เทียนเหอน่าจะอยู่ที่โรงเรียนนะ เรารีบไปกันเถอะ!”
คำพูดนั้นปลุกใจยวี๋น่า เธอรีบคว้าแขนของเด็กน้อยแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “นีนี หนูบอกพี่หน่อยว่าโรงเรียนในหมู่บ้านอยู่ตรงไหนเหรอ?”
นีนีหันหลังก่อนจะชี้นิ้วไปทางหนึ่ง ทางด้านตะวันตกของหมู่บ้าน
ยวี๋น่าและซูฉิงมองหน้ากันก่อนจะเรียกบอดี้การ์ดสองสามคนเพื่อรีบไปที่โรงเรียนพร้อมกัน
โรงเรียนอยู่นอกหมู่บ้าน ถนนบนภูเขาขรุขระและแคบ จึงทำได้เพียงต่อแถวเพื่อเดินไปข้างหน้าเท่านั้น ซูฉิงยังคงอุ้มนีนีจึงต้องเดินให้ระวังมากขึ้น
หลังจากเดินอย่างลำบากเป็นเวลาเกือบชั่วโมง ในที่สุดพวกเธอก็มาถึงประตูโรงเรียน
“ถึงแล้ว! เราถึงแล้ว!” เสียงของยวี๋น่าสั่นเล็กน้อย ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้น
อู๋เทียนเหอ นายต้องอดทนไว้นะ!!
สถานการณ์ในหมู่บ้านว่ายากแล้ว ทางโรงเรียนเองก็ไม่ค่อยดีเช่นกัน
หลังจากที่พวกซูฉิงเข้าประตูโรงเรียน ก็เห็นห้องเรียนหลายแห่งที่ถล่มลงมา
ทีมกู้ภัยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือ แต่โชคดีที่ครูในโรงเรียนได้ปกป้องนักเรียนและให้อพยพได้ทันเวลา ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ และจำนวนผู้เสียชีวิตก็ต่ำกว่าในหมู่บ้านมาก
“มาเลยค่ะ นี่ขนมปังกับน้ำนะคะ ทุกคนกินสักหน่อย ไม่ต้องรีบไม่ต้องแย่งกันนะคะ…มีให้ทุกคนค่ะ…”
ซูฉิงไม่คิดว่าแผ่นดินไหวบนภูเขาจะรุนแรงขนาดนี้ ตอนพวกเขามา พวกเขาได้นำอาหารมาเต็มรถ และทีมกู้ภัยก็นำอุปกรณ์ทางการแพทย์และยารักษามาเป็นจำนวนมาก
ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง อาหารสำรองครึ่งหนึ่งที่พวกเขานำมาก็เกือบจะหมดลงแล้ว
“ซูฉิงเธอดูแลพวกเขาก่อนนะ ฉันจะไปข้างหน้าหน่อย จะดูว่ามีใครที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือไหม บางทีอาจได้รู้ข่าวเกี่ยวกับอู๋เทียนเหอก็ได้”
ทีมกู้ภัยได้ช่วยนักเรียนอีกสองคนและส่งออกมา ซูฉิงและแพทย์ส่วนหนึ่งอยู่ดูแลนักเรียนและครูที่ได้รับการช่วยเหลือ ขณะที่ยวี๋น่าเดินตามบอดี้การ์ดเพื่อค้นหารอบๆ เธอส่งเด็กสองคนไปหาซูฉิงก่อนจะพูดอย่างเร่งรีบและวิ่งออกไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่ามีผู้ได้รับการช่วยเหลือมากขึ้นเรื่อยๆ และตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในอันตรายอีกครั้งหากเกิดอาฟเตอร์ช็อก
ซูฉิงตึงเครียดก่อนจะค่อยๆ รู้สึกร่างกายอ่อนแรง
แต่ว่าในตอนนี้ เธอไม่สามารถพักได้
ซูฉิงรีบจัดนักเรียนที่ได้รับการช่วยเหลือจากทีมกู้ภัยให้คอยประคองกันและเดินไปที่พื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ตรงสนามเด็กเล่น
นักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกบอดี้การ์ดและทีมกู้ภัยส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เพื่อรับการรักษา
หลังจากการอพยพเสร็จสิ้น ซูฉิงถึงได้ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
สิ่งที่ตามมาคือร่างกายรู้สึกหมดแรง
ตั้งแต่เข้ามาในหมู่บ้าน ซูฉิงก็วิ่งไม่หยุด และไม่เคยหยุดนิ่งเลย
เมื่อกี้เธอถามครูคนหนึ่งที่ได้รับการช่วยเหลือ ติดต่อทีมกู้ภัยที่อยู่ใกล้เคียงให้มาทางนี้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทีมกู้ภัยในเขตเทือกเขาก็มาถึงโรงเรียนในที่สุด ก่อนหัวหน้าทีมจะมารับช่วงต่อกับซูฉิง
นอกจากนี้ยังมีนักข่าวจากสื่อนอกจำนวนมากที่เข้ามาไม่หยุดเพราะต้องการเอาข่างไปทำรายงานข่าว
ซูฉิงกล่าวกับหัวหน้าทีมว่า “สวัสดีค่ะ นี่คือนักเรียนและครูที่เราช่วยเหลือมาจนถึงตอนนี้ ยังมีคนในหมู่บ้านอีกมาก แต่ไม่รู้ว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้จะเกิดอาฟเตอร์ช็อกขึ้นอีกเมื่อไร เพราะอย่างนั้นช่วยพวกเขาออกไปที่ที่ปลอดภัยก่อนเถอะค่ะ”
หัวหน้าทีมกู้ภัยพยักหน้า ก่อนจะมองดวงตาของซูฉิงด้วยความชื่นชม “แน่นอนว่าได้ครับ ต้องขอบคุณพวกคุณที่ขึ้นมาช่วยชีวิตผู้ประสบภัยบนภูเขานะครับ ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ผมนะครับ”
ซูฉิงพยักหน้า
ทีมกู้ภัยจัดให้นักเรียนที่ได้รับการช่วยเหลือออกจากโรงเรียนและไปยังที่ปลอดภัย นีนีเองก็ถูกพาตัวไปเช่นกัน
“หนูไปที่ที่ปลอดภัยกว่านี้กับคุณอาดีไหม? อย่าไปขวางพี่สาวเขาทำงานเลยเนอะ?” หัวหน้ากู้ภัยก้มศีรษะลงไปลูบหัวของนีนีด้วยแววตาสงสาร